ที่ปรึกษานายกฯอัดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ 3 ปีแก้เศรษฐกิจล้มเหลว

29 ม.ค. 2567 | 08:42 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ม.ค. 2567 | 08:43 น.
854

ที่ปรึกษานายกฯอัดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ 3 ปีแก้เศรษฐกิจล้มเหลว จี้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ แนะผู้ว่าธปท. เร่งเพิ่มจีดีพี ชี้จะอยู่ครบเทอมแล้วแต่เศรษฐกิจไทยยังอยู่กับที่ ต้องรีบแก้ไข อย่าแก้ตัว

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 อยู่ที่ 1.4% ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 อยู่ที่เพียง 1.8% ซึ่งนับว่าต่ำมาก

ซึ่งตรงกับที่ตนได้เตือนไว้แล้วว่าเศรษฐกิจปี 2566 จะขยายได้ไม่ถึง 2.4-2.5% ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน ทั้งที่ทั้งสองหน่วยงานลดการคาดการณ์จากเดิมที่ 3.6% ลงมาแล้วแต่ก็ยังไม่ถึง 

ดังนั้น จึงต้องการให้ ธปท. และสภาพัฒน์ฯ ได้คาดการณ์เศรษฐกิจตามความเป็นจริง เพราะที่ผ่านมาทุกปีการคาดการณ์ผิดพลาดอย่างมากมาโดยตลอด และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ ก็จะไม่ดีเช่นกันถ้าหากไม่เร่งช่วยกันแก้ไขปัญหา 
 

และช่วยสนับสนุนแนวทางใหม่ๆ โดยไม่ได้หมายความว่าต้องเกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น แต่เกี่ยวกับทุกแนวทางที่สามารถทำได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาไปมากกว่านี้ 

ที่ปรึกษานายกฯอัดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ 3 ปีแก้เศรษฐกิจล้มเหลว

ทั้งนี้ การที่ผู้ว่าฯ ธปท. ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ (รอยเตอร์) ว่าเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤตแต่ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ จึงต้องการจะถามว่าถ้าขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ไว้มากเป็นเวลานาน 10 ปีติดต่อกัน เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงหรือไม่ ถือเป็นวิกฤตในอีกรูปแบบหนึ่งใช่หรือไม่ 

นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผู้ว่าธปท. เข้ารับตำแหน่งจนจะครบเทอมในปลายปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบมาตลอดไม่ทราบว่าผู้ว่า ธปท.ทราบหรือไม่ เพราะในปี 63 ที่ผู้ว่า ธปท. เข้ารับตำแหน่ง เศรษฐกิจไทยติดลบหนักที่ -6.1%  

โดย 3 ปีต่อมา ปี 64 ขยาย +1.6% ,ปี 65 ขยาย +2.6% และปี 66 ขยาย 1.8% รวมกัน 1.6% +2.6%+1.8% = 6% ซึ่งยังไม่ถึงที่ตกลงมาเลย เท่ากับประเทศไทยอยู่กับที่หลังจาก 4 ปีแล้ว 
 

ซึ่งหากตนเป็นผู้ว่าธปท. ตนจะต้องรู้สึกกังวล เดือดร้อน และผิดหวัง เพราะประเทศส่วนใหญ่ขยายตัวในปี 64 มากกว่าปี 63 ที่ตกลงมาแล้ว และปัจจุบันบางประเทศยังขยายตัวเพิ่มขึ้นไปอีกถึง 15-20% ด้วยซ้ำ เช่น ประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 63 เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่า 20% แต่ไทยกลับยังอยู่กับที่  

"หากผู้ว่า ธปท. ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา ก็น่าจะมีปัญหาในวิธีคิดแล้ว อีกทั้งจากการสำรวจของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ พบว่า 93% ของประชาชนเห็นว่าเศรษฐกิจวิกฤต โดยมีผู้เข้าโหวตถึงกว่า 2.4 แสนคน ผู้ว่าธปท. คงต้องไปอธิบายให้คน 93% เหล่านี้เข้าใจว่าทำไมถึงไม่วิกฤต" 

นายพิชัย กล่าวอีกว่า การที่ผู้ว่า ธปท. สัมภาษณ์ว่าการที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากขึ้นต้องปรับโครงสร้าง ดังนั้นจึงต้องการถามว่าผู้ว่าฯ ได้ทำอะไรเพื่อเป็นการสนับสนุนการปรับโครงสร้างบ้าง ถ้านึกไม่ออก ตนจะขอเสนอแนวทางการพิจารณาโดยเริ่มต้นจากการลดดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ลง เพื่อให้ช่วงห่างระหว่างเงินกู้และเงินฝากลดลง เพื่อลดภาระของประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งนี้เข้าใจดีว่าดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับลงยังไม่ได้เพราะต้องคำนึงผลกระทบหลายทาง 

แต่การลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์โดยลดช่วงห่างของเงินกู้เงินฝากลง ธปท. สามารถบังคับทำได้ทันทีและควรต้องเร่งทำ โดยอาจทำผ่านคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) อย่าปล่อยให้รายได้ จีดีพี ที่เพิ่มขึ้นไปตกอยู่กับธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งหมดเพราะกำไรของธนาคารพาณิชย์กว่า  2.2 แสนล้านบาทนั้นมากกว่า 1% ของจีดีพีแล้ว และต้องให้ธนาคารพาณิชย์กระจายการปล่อยกู้ให้เข้าถึงรายย่อยและ SMEs ด้วย โดยเฉพาะการช่วยเหลือ SMEs ที่ขาดสภาพคล่องแต่ธุรกิจยังมีอนาคตที่จะไปรอดได้ 

อย่างไรก็ดี ในปี 2567 คาดกันว่าสภาพคล่องในระบบการเงินและการธนาคารจะเป็นปัญหา ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำลง จึงต้องการถามว่า ธปท. ได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้อย่างไร อีกทั้งพันธบัตรเงินกู้ ตราสารหนี้ และหุ้นกู้ของหลายบริษัทกำลังจะมีปัญหาการชำระไถ่ถอน ธปท. เตรียมรับมืออย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องการให้ ธปท. กลับไปทบทวนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

การกำหนดนโยบายทางการเงิน การกำหนดอัตราดอกเบี้ย และการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท. สนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยขนาดไหน และควรจะต้องปรับแก้อย่างไรเพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับโครงสร้างของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ เหมือนที่แบงก์ชาติของหลายประเทศที่มีความสามารถแข่งขันสูงทำกัน 

"ต้องการให้ผู้ว่า ธปท. ได้มีโอกาสสัมผัสปัญหาของประชาชนที่รายได้ไม่เพิ่ม แต่รายจ่ายเพิ่ม หนี้สินเพิ่ม อีกทั้งหลายคนต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดที่รัฐบาลต้องโดดลงมาช่วยแก้ไขนี้ อย่าให้ประชาชนตำหนิได้ว่าผู้ว่า ธปท. รับรายได้ถึงปีละกว่า 20 ล้านบาท จึงไม่รู้ว่าประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ผู้ใช้แรงงาน และ เกษตรกร มีความทุกข์ และความลำบากกันอย่างไร"

นายพิชัย กล่าวต่อไปอีกว่า ต้องการเรียกร้องให้ผู้ว่า ธปท. เร่งแก้ไข และเลิกแก้ตัวได้แล้ว โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าในเวลาที่เหลือในตำแหน่งนี้ ผู้ว่า ธปท. จะช่วยให้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เท่าไหร่ เพราะจะเป็นประวัติศาสตร์การทำงานของผู้ว่า ธปท. เองไปชั่วชีวิต ผู้ว่า ธปท คงไม่อยากให้มีประวัติการทำงานว่าบริหารนโยบายการเงินมาตลอด 4 ปี แต่กลับทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่กับที่ ไม่ได้มีการเจริญเติบโตเลย จะเป็นเรื่องที่น่าละอายหรือไม่