ผลวิจัย ชี้ เข้าร้านยาใกล้บ้านแทนไป รพ. ประหยัดสูงสุด 901 บาท/ครั้ง

20 พ.ย. 2566 | 13:20 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ย. 2566 | 13:26 น.

สปสช.-สวรส. ยกระดับ 30 บาทพลัส ชูโครงการเจ็บป่วยเล็กน้อยรับบริการร้านยาใกล้บ้านแทนไปโรงพยาบาล ย้ำ ผลวิจัยชี้ชัดช่วยภาครัฐประหยัดได้ 466-683 บาท/ครั้ง ขณะที่ประชาชนประหยัดเงิน 665-901 บาท/ครั้ง

จากปัญหาความแออัดเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสถานพยาบาลทั่วประเทศ ข้อมูลงานวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า ในปี พ.ศ. 2560 มีผู้ป่วยนอกจากทั่วทั้งประเทศไทยเข้ารับบริการในสถานบริการสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุขกว่า 220 ล้านครั้งต่อปี โดยประมาณการว่า ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจริง ๆ มีเพียง 2 ใน 5 เท่านั้น

นอกจากนั้นเมื่อมีผู้ป่วยจำนวนมากเข้ารับการรักษา การวินิจฉัยของแพทย์และการดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละรายจึงมีเวลาที่สั้นลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาที่อาจจะลดลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นความแออัดในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขอื่น ๆ อาจส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทั้งตัวผู้ป่วยเองและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจ

ในด้านผลการสำรวจประชาชนหรือผู้รับบริการ พบว่า ผู้รับบริการในโรงพยาบาลกว่าร้อยละ 90 เป็นการตรวจโรคทั่วไปเพื่อรับยา พบมีปัญหาในการรอคอยพบแพทย์นาน 84% และรอรับยานาน 74 %

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า จากการสำรวจการใช้บริการสุขภาพเมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย พบว่า ร้านยาเป็นสถานบริการสุขภาพที่ประชาชนเลือกไปใช้บริการมากที่สุด 38 % ของผู้ที่รับบริการสุขภาพทั้งหมดโดยผู้รับบริการที่ร้านยาบางส่วนเป็นผู้ที่แทบจะไม่ได้ใช้บริการที่โรงพยาบาลเลย หรือไม่เคยใช้สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพมาก่อน

กล่าวได้ว่า ร้านยาโดยเภสัชกร เป็นผู้ค้นหาผู้ป่วยในชุมชนให้เข้าสู่บริการในระบบสุขภาพ โดยเภสัชกรร้านยาสามารถให้คำปรึกษา ดูแลด้านสุขภาพ และจ่ายยาสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้  

ทั้งนี้ สำหรับระบบสุขภาพโดยเฉพาะระบบบริการ เริ่มต้นตั้งแต่หน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ไปจนถึงหน่วยบริการระดับศูนย์ความเป็นเลิศด้านต่าง ๆ (Excellent Center) ซึ่งสิ่งที่เราอยากเห็น คือ ผู้คนที่เจ็บป่วยสามารถไปใช้บริการที่มีคุณภาพใกล้บ้านได้อย่างสะดวก โดยขณะนี้ใกล้สุด คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ถัดไปเป็นโรงพยาบาลในระดับอำเภอ 

นอกจากนี้ยังพบว่า จำนวนผู้รับบริการในโรงพยาบาลระดับต่าง ๆ ยังมีจำนวนมากทั้งที่จริงแล้วบางคนมีอาการเจ็บป่วยไม่มากหรือเจ็บป่วยเล็กน้อย แต่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาลซึ่งแต่ละคนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ดังนั้น ถ้ามีการเพิ่มขีดความสามารถหรือศักยภาพในการให้บริการเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุดโดยกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยให้สามารถไปรับยาที่สถานบริการสุขภาพใกล้บ้านนับเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก จึงนำมาสู่คำถามทางวิชาการว่า ถ้าประชาชนจะไปรับยาใกล้บ้านต้องทำอย่างไรให้ถูกหลักวิชาการ 

โดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้มีการประเมินโครงการรับยาที่ร้านยาแล้ว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้นำไปใช้ในการพัฒนานโยบายรับยาที่ร้านยาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยมีการตั้งเป้าว่า ร้านยา 1 ร้านควรให้บริการครอบคลุมประชาชน 10,000 คนในช่วงแรก และเนื่องจากมีผู้ใช้บริการบัตรทองอยู่ประมาณ 48 ล้านคน

เพราะฉะนั้น ทั้งประเทศควรมีร้านยาที่เข้าร่วมโครงการรับยาที่ร้านยาประมาณ 4,800 ร้าน หรือตั้งเป้าไปที่ 5,000 ร้าน และควรมีการกระจายไปในพื้นที่ให้ครอบคลุมการรับบริการให้มากที่สุด ในขณะที่ปัจจุบันมีร้านยาที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 1,500 ร้าน ซึ่งหน่วยงานเกี่ยวข้องกำลังเร่งรัดให้ได้ 5,000 ร้าน

โรคที่พบส่วนใหญ่ 1 ใน 3 เป็นโรคไข้หวัด เจ็บคอ ไม่สบายเล็ก ๆ น้อยๆ ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องไปแออัดอยู่ที่โรงพยาบาล และเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไปในตัวในเรื่องการยกระดับ 30 บาทพลัส โดยร้านยาที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีมาตรฐานที่เรียกว่า Good Pharmacy Practice (GPP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก

โดยมีเงื่อนไขการประเมินพื้นฐาน เช่น เรื่องสถานที่ อุปกรณ์ บุคคล คุณภาพยา บริการ โดยอย่างน้อยต้องผ่าน 70 % ในประเด็นที่มีความสำคัญ ประชาชนที่ไปใช้บริการรับยาที่ร้านยา สามารถมั่นใจได้ว่า จะได้รับบริการที่มีคุณภาพ 

นโยบายรับยาที่ร้านยากรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย ถ้าสามารถทำได้ครอบคลุม จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศเป็นอย่างมาก และเกิดการยกระดับการบริการประชาชนตามนโยบาย 30 บาทพลัสในเวลาเดียวกัน

กล่าวได้ว่า ร้านยาสามารถตอบโจทย์ข้อจำกัดด้านสถานที่และบุคลากรได้ดี ผนวกกับแนวคิดการผลักดันการกระจายกระบวนการทำงานบางส่วนออกสู่ภายนอกโรงพยาบาล ได้แก่ การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง/หอบหืด/จิตเวช หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ

รวมทั้งบริการเจ็บป่วยเล็กน้อย และบริการส่งเสริมป้องกันโรค อาทิ การคัดกรองโรคเบื้องต้น เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เครียดและซึมเศร้า จ่ายยาคุมกำเนิดหรือถุงยางอนามัย และจ่ายชุดทดสอบการตั้งครรภ์ ที่ร้านยา เพื่อลดปัญหาความแออัด เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ และเพิ่มคุณภาพในการดูแลรักษา รวมทั้งในด้านผู้ป่วย สามารถลดเวลารอรับยาและการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันผู้ใช้บัตรทองสามารถรับบริการดังกล่าวได้ที่ร้านยาโดยประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช.

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า บัตรทองต้องมีการจัดระบบบริการให้ตรงกับความต้องการด้านสุขภาพ (health need) ของประชาชนและทรัพยากรสุขภาพที่มีอยู่ ในกรณีร้านยาถือเป็นจุดเริ่มที่พบว่าเป็น game changer ของระบบบริการในโรงพยาบาล

บทเรียนจากร้านยาสามารถใช้เป็นตัวอย่างที่ สปสช. นำไปขยายสู่บริการสาขาอื่น เช่น คลินิกพยาบาล กายภาพบำบัด แล็บ เป็นต้น โดยบริการสุขภาพควรจะเริ่มต้นที่เภสัชกรร้านยา แต่ข้อมูลจากงานวิจัย พบว่าข้อจำกัดสำคัญอยู่ที่การจัดระบบเครือข่ายบริการ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูล และการส่งต่อเพื่อรับบริการสุขภาพ ระหว่างร้านยากับโรงพยาบาลหรือคลินิก โดยเฉพาะกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อยและการส่งต่อผู้ป่วยเมื่อมีความจำเป็น เป็นต้น 

ที่ผ่านมาพบว่า การดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายถ้ามีเพียงแต่งานวิจัยและภาคประชาสังคม จะยังไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคการเมืองมาช่วยผลักดัน ก็จะมีองค์ประกอบครบ 3 ด้านตามหลักการ สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา และขณะนี้นโยบายร้านยาก็มีทิศทางที่ดีเนื่องจากได้รับการสนับสนุนให้เป็นนโยบายสำคัญของฝ่ายการเมือง

ในต่างประเทศ ร้านยาได้รับการสนับสนุนให้เข้ามามีบทบาทดูแลผู้ป่วยในระบบสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ เช่น กระทรวงสาธารณสุขและ NHS สหราชอณาจักร เตรียมออกประกาศให้เภสัชกรร้านยาสามารถจ่ายยารวมถึงยาต้านจุลชีพสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย โดยนับเป็นครั้งแรกที่สหราชอณาจักรจะอนุญาตให้เภสัชกรสามารถจ่ายยาโดยที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากการที่ประชาชนต้องรอคิวพบแพทย์เป็นเวลานาน รวมทั้งการเดินขบวนของแพทย์และพยาบาลเพื่อเรียกร้องให้มีการลดความคับคั่งในการรับบริการโดยจำกัดปริมาณผู้ป่วยต่อวัน

ผลวิจัย ชี้ เข้าร้านยาใกล้บ้านแทนไป รพ. ประหยัดสูงสุด 901 บาท/ครั้ง

ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ในแต่ละปีมีการซื้อยาที่ร้านยาสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเป็นมูลค่า 146 ล้านเหรียญ (ประมาณ 4,800 ล้านบาท) โดยแต่ละ 1 เหรียญ (ประมาณ 33 บาท) ที่ใช้ในร้านยาสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายสุขภาพโดยรวมของประเทศเป็นมูลค่า 7 เหรียญ (ประมาณ 230 บาท) ยิ่งไปกว่านั้น ประมาณการว่าการรับยาสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ร้านยา ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการให้ผู้ป่วยจำนวนกว่า 27 ล้านคนทั่วประเทศ

ส่วนในประเทศไทย งานวิจัยพบว่า การรับบริการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ร้านยาใกล้บ้านแทนการไปโรงพยาบาล จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากภาครัฐได้ 466-683 บาทต่อครั้ง และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าเดินทางและค่าเสียเวลา ของประชาชนได้ 665-901 บาทต่อครั้ง

ประเทศไทยเองยังมีโอกาสในการพัฒนาร้านยาอีกมาก โดยในอนาคตหากมีการพัฒนาระบบการจัดการของร้านยาให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบาย การจัดการในห่วงโซ่อุปทานยา การสนับสนุนด้านวิชาการ และการจัดการด้านการเงินการคลัง ให้กับร้านยาที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบ 20,000 แห่ง เพื่อให้เกิดการยกระดับศักยภาพของตัวเภสัชกร บริการและการพัฒนาเครือข่ายบริการ ซึ่งจะนำไปสู่การการพัฒนาระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง ส่งผลดีต่องานบริการสุขภาพ เศรษฐกิจของร้านยา ชุมชน และประเทศได้