"ไมเนอร์"ทุบสถิติกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับท่องเที่ยวฟื้น

13 พ.ย. 2566 | 16:54 น.
อัปเดตล่าสุด :13 พ.ย. 2566 | 17:21 น.

ไมเนอร์ทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.3 พันล้านบาท ทั้งพลิกกลับมาทำกำไรแล้วในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จากความต้องการในการเดินทางที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหาร

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ( MINT) หรือ ไมเนอร์ รายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของไตรมาส 3  สูงเป็นประวัติการณ์เป็นจำนวน 2.3 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตรา 13 % และจากช่วงเดียวกันของปีการระบาดของโรคโควิด-19 ที่อัตรา 76 %

จากปัจจัยต่างๆ อาทิ ความต้องการของการเดินทางที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร และกลยุทธ์การทำแบรนด์และการตลาดของบริษัท

mint

สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2566 MINT มีผลการดำเนินงานสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกันเป็นจำนวน 4.6 พันล้านบาท พลิกฟื้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน จำนวน 360 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาส 3 ปี 2566 MINT มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างการจำนวน 0.25 บาทต่อหุ้น จากความสำเร็จของผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2566 การจ่ายปันผลครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี สถานะงบการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น กระแสเงินสดที่มั่นคงจากการดําเนินงาน และแนวโน้มเชิงบวกสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีกลุ่มธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปเป็นแรงหนุนหลักในการเติบโตของกำไรสุทธิ

ไมเนอร์ โฮเทลส์ รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตอัตราร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงเป็นประวัติการณ์ของไตรมาส 3 ที่ 1.7 พันล้านบาท  

ไมเนอร์ โฮเทลส์

การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากธุรกิจโรงแรมในยุโรป รวมถึงผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของโรงแรมในประเทศไทยและอนันตรา เวเคชั่น คลับ นอกจากนี้กลุ่มโรงแรมในยุโรปยังสามารถทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาส 3 ส่วนใหญ่มาจากความต้องการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการเดินทางเพื่อธุรกิจเพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและงานสัมมนาบริษัทที่จัดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส

สำหรับโรงแรมในประเทศไทย การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและกลยุทธ์การทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าตลาดใหม่ส่งผลให้กลุ่มโรงแรมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอยู่ที่ร้อยละ 38 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ ยังสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดีกว่าช่วงของปีการระบาดของโรค COVID-19 ข้ามผ่านผลกระทบของจำนวนเที่ยวบินที่ยังคงมีจำกัด

โรงแรมในเครือไมเนอร์

ไมเนอร์ ฟู้ด มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น หนุนโดยการเติบโตของรายได้และความสามารถในการจัดการต้นทุน

ไมเนอร์ ฟู้ด มีผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นจำนวน 584 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตที่อัตราร้อยละ 47 เทียบกับ 399 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยความสามารถในการทำยอดขายโดยรวมทุกสาขาในประเทศไทยเติบโตกว่าอัตราร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการขยายเครือข่าย

การฟื้นตัวของยอดขายจากการรับประทานอาหารภายในร้าน ซึ่งถูกผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกแบบเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับตลาด เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและขยายฐานลูกค้า ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทย ได้ใช้กลยุทธ์การสร้างความพรีเมี่ยมให้กับแบรนด์หลักๆ เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ให้ธุรกิจ

เช่น แดรี่ ควีน ที่เน้นหมวดหมู่พรีเมี่ยมของซันเดย์และเครื่องดื่ม ส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นและจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยแคมเปญใหม่ของ “ชาไทย บลิซซาร์ด” ได้ทำสถิติยอดขายสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จัดแคมเปญทั้งหมด ในขณะที่กลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนยังคงมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเมนู ปรับลดในด้านส่วนลดที่ให้ลูกค้า และใช้กลยุทธ์ในการบริหารสาขาที่ไม่ทำกำไรเพื่อดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายด้านการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศ

MINT เดินหน้าขยายธุรกิจทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 อาทิ เอ็นเอช คอลเลคชั่นในมัลดีฟส์ อนันตรา เกาะยาวใหญ่ รีสอร์ทแอนด์วิลล่าในประเทศไทย และโรงแรมโอ๊คส์เพิร์ธในประเทศออสเตรเลีย การขยายโรงแรมไปยังสถานที่นอกเหนือจากตลาดเดิมยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท เช่นโรงแรมเอ็นเอชในประเทศอิตาลีและเม็กซิโกที่ได้รีแบรนด์เป็นอวานีในไตรมาสนี้

ในส่วนของไมเนอร์ ฟู้ด มีร้านอาหารใหม่จำนวน 26 สาขาในไตรมาสและได้ประกาศแผนเปิดสาขาแฟรนไชส์สาขาแรกภายใต้แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในประเทศสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นับว่าเป็นประเทศที่ 10 ที่แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก

อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงินที่ลดลงสะท้อนถึงงบการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น

บริษัทยังคงมุ่นมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน ส่งผลให้ MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงและส่วนผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดี MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิที่ 1.05 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ลดลงจาก 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565

อีกทั้ง MINT ยังประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนสินเชื่อร่วมที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan : SLL) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในหมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการในประเทศไทย ยืนยันเป้าหมายของ MINT ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้านการเงินและบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน

ดิลลิป ราชากาเรีย

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวด้วยความเชื่อมั่นถึงผลการดำเนินงานของปี 2566 และการเติบโตในอนาคต

 “ผมมีความยินดีที่จะกล่าวว่าปัจจัยบวกที่มีอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ MINT สามารถบรรลุกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาส 3 นำโดยความแข็งแกร่งจากกลุ่ม ไมเนอร์ โฮเทลส์ ตลอดทั้งไตรมาสนี้ โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงมีแน้วโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการการเดินทางทั่วโลกที่สูงขึ้น ยอดการจองห้องพักล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นและกิจกกรรมการเดินทางที่มีมากขึ้น

ในส่วนของไมเนอร์ ฟู้ด การเป็นผู้นำตลาดและแบรนด์ชั้นนำยังคงเป็นความมุ่งมั่นของบริษัท โดยมุ่งเน้นการยกระดับผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ภายในร้านเพื่อขยายฐานลูกค้า”

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวเพิ่มเติม “ด้วยแรงผลักดันที่ดี เราเชื่อว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสถัดๆ ไป โดยเฉพาะจากแรงหนุนในช่วงฤดูการท่องเที่ยวสำหรับโรงแรมในทวีปเอเชียในไตรมาส 4 ปี 2566 และไตรมาส 1 ปี 2567"