นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย (TPFA, Thai Pet Food Trade Association) กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงศักยภาพในการเป็นผู้นำอันดับ 3 ของโลก ในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมว รองจากประเทศเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา สร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 7-8 หมื่นล้านบาท โดยสมาคมมุ่งอุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านนโยบายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยอาหาร จริยธรรมด้านแรงงาน และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ครั้งนี้ สมาคมจัดกิจกรรมเสวนาส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม หัวข้อ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไทยกับความยั่งยืนภายใต้ BCG Model สอดคล้องนโยบายระดับชาติ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goal) อีกทั้ง ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในกรอบการเจรจาสำคัญ เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป(FTA Thai-EU) และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิค (The Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity, IPEF) ซึ่งริเริ่มโดยสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น อุตสาหกรรมต้องปรับตัว และปฏิบัติตามกฎระเบียบสากล ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปกป้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและในมหาสมุทร การลดขยะทะเล ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรอาหารสำคัญของโลก
“ที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนสูญเสียของการผลิต (Food loss food waste) จากอุตสาหกรรมทูน่า ไก่ เครื่องในวัวแกะที่มีคุณภาพ ผ่านการวิจัยพัฒนาสูตร สู่กระบวนการผลิต ตามกฎหมายกรมปศุสัตว์และมาตรฐานสากล จนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมี่ยมส่งออกไปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงาน
ทั้งนี้ขึ้นกับความพร้อมของบริษัท อาทิเช่น ขยายการผลิตไฟฟ้าจาก Solar roof top, การเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังความร้อนใช้ในระบบทำความเย็นและไอน้ำ การนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ การเปลี่ยนเชื้อเพลิงบอยเลอร์จากถ่านหินเป็น Biomass การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recycled) เป็นต้น” สำหรับการประเมินผลสำเร็จของ BCG นี้ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง มีการใช้ประโยชน์จากการนำกลับมาใช้ใหม่(Circular) และพัฒนาไปใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green) มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“สมาคมตระหนักถึงความสำคัญในการจัดทำข้อมูล Carbon Footprint องค์กร เพื่อหา Baseline ของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงว่า มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปริมาณเท่าใด ซึ่งเป้าหมายการลดเป็นไปตามแผนของชาติ ทางสมาคมตั้งคณะทำงานวิเคราะห์ข้อมูลของสมาชิกเพื่อนำมาประเมินตัวเลขในภาพรวมคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาสัมพันธ์การอบรมความรู้เชิงวิชาการ กฎระเบียบ แก่สมาชิกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยู่ในแผนงานสมาคมปี 2023-2024
แนวทางการคืนสู่สังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) สมาชิกสมาคมได้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนและหน่วยงานราชการในพื้นที่ อาทิเช่น รณรงค์ทำความสะอาดขุดลอกคลอง, สร้างฝ่ายชะลอน้ำ, ปลูกป่าชายเลน, กำจัดขยะเศษอาหาร, บริจาคถังขยะให้ชุมชน, ร่วมกับโรงเรียนเก็บขวด PET มาเข้ากระบวนการรีไซเคิล เป็นต้น”
นายชนินทร์ กล่าวเสริมว่า สมาคมได้นำเจตนารมณ์ กิจกรรม และขีดความสามารถของสมาชิก สื่อสารต่อสาธารณะให้เห็นถึงความพลังของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การลดและจัดการขยะทั้งบนบกและในทะเลได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน ต้องอาศัยการเชื่อมโยงและทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ของภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม
“ภาคเอกชนต้องลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทางภาครัฐควรสร้างมาตรการจูงใจทางภาษี เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”