ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดเผยว่าปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของสังคมได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยนิยมบริโภคข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือไลน์ มากขึ้น สื่อมวลชนกระแสหลักก็ต้องยิ่งปรับตัวเพื่อแข่งขันให้เท่าทันกับสื่อสังคมออนไลน์
ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า 1 ในปัญหาสำคัญที่มาพร้อมกับความรวดเร็วในการเปิดรับ และส่งต่อข่าวสารนั้น คือเรื่องของคุณภาพและความถูกต้อง อันเป็นช่องว่างในการแพร่กระจายของข่าวลวง (Fake News) ที่ผ่านมา หน่วยงานต่าง ๆ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้มีความพยายามในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวสาร ทั้งจากภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ สื่อมวลชน และภาคสังคม อาทิ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย, ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ โดยสำนักข่าวไทย, โคแฟค (Cofact) ประเทศไทย และภาคีเครือข่ายทั้งในประเทศ และระดับนานาชาติอย่างเครือข่ายการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับนานาชาติ (International Fact Checking Network หรือ IFCN)
รวมถึงความพยายามในการบริหารจัดการกับข่าวปลอมจากเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละภาคส่วนล้วนมีจุดแข็งและความถนัดในการทำงานที่แตกต่างกัน รวมถึงอาจยังมีช่องว่างในการทำงาน ที่ต้องการกลไกในการช่วยเชื่อมร้อย บูรณาการ และสนับสนุน
“ภารกิจสำคัญของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คือ ส่งเสริมและสนับสนุน ตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมของสังคม ให้มีการศึกษาวิจัย อบรม พัฒนาองค์ความรู้และการสร้างนวัตกรรมด้านสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการเชื่อมร้อยภาคีเครือข่าย และกลไกตรวจสอบข่าวปลอมจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยเห็นควรให้มีการดำเนินโครงการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาคีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมพลัง ตลอดจนพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนของสังคมที่เกี่ยวข้องในการรับมือกับปัญหาข่าวปลอม ผ่านการศึกษาตามหลักวิชาการ และการรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อหน่วยงานภาคีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในแต่ละภูมิภาค’
ด้านนายสเตฟาน เดลโฟร์ หัวหน้าสำนักข่าว Agence France-Presse (เอเอฟพี) ประจำกรุงเทพ ประเทศไทยรายงานผลการศึกษา “แนวทางการทำงาน และออกแบบระบบสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อบูรณาการและเสริมพลังภาคีเครือข่ายหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริง” จาก 2 สถาบันชั้นนำ คือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วงเสวนา”ถอดบทเรียนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเทศไทย สู่การสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่าย”
โดยมี กุลธิดา สามะพุทธิ Fact checker ประจำกองบรรณาธิการ Co-Fact ประเทศไทย, พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท, ดร.สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อํานวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้ร่วมสรุปในเวทีเสวนา
“สถานการณ์ข่าวลวงในปัจจุบันได้เลวร้ายลงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนรวมถึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม มีความพยายามในการแก้ปัญหาข้อมูลข่าวปลอม การโฆษณาชวนเชื่อ ข้อมูลบิดเบือนที่มีการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วมาก สิ่งที่องค์กรสื่อชั้นนำทั่วโลก กำลังทำอยู่คือพัฒนาแนวทางเทคนิคการตรวจสอบโดยเทคโนโลยีดิจิตอล และมีการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงทางดิจิตอล หลักการสำคัญคือ การคัดกรองข้อมูลที่จะสามารถสร้างผลกระทบได้ในวงกว้าง และข้อมูลที่จะสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างรุนแรง สื่อที่ดีคือสื่อที่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และสำนักข่าวทุกแห่งต้องการที่จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน การทำงานเป็น Fact Checker หรือผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง”
ขณะที่ ผลการศึกษาวิจัย ด้านแผนงานบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาคีเครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าต้องมีแนวทางในการจัดการปัญหาข่าวปลอม โดยการตรวจสอบแหล่งที่มา รายละเอียดข้อเท็จจริงและให้ความรู้กับประชาชน ในการใช้เครื่องมือแอปพลิเคชั่นที่มีอยู่แล้ว และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ Social Listening Tool มีการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อตรวจสอบระหว่างแพลตฟอร์ม และหากเป็นไปได้ควรมีองค์กรกลางที่เชื่อมประสานแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงการออกข้อกฎหมายควบคุมให้เกิดการรับผิดชอบต่อข้อมูล
สำหรับแนวทางในการพัฒนากลไกการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น ต้องมีการผลักดันทั้งทางด้านนโยบาย ให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ มีการจัดตั้งหน่วยงานอิสระที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบโดยตรง ไปจนถึงการสร้างภาคีเครือข่ายทำงานร่วมกันทั้ง รัฐ เอกชน และประชาชน
ควรจัดตั้งเป็นคณะกรรมการทำงานร่วมกัน และมีกฏหมายที่ชัดเจนมารองรับ ควรมีแพลตฟอร์มให้ประชาชนจัดทำระบบคัดกรองและกำกับดูแล จัดทำฐานข้อมูล (Database) สร้าง Application ในการตรวจสอบ สร้างเว็บไซต์ มีช่องทางในการร้องเรียน แจ้งปัญหา ให้ประชาชนเข้าถึงง่ายและรวดเร็ว มีการพัฒนาระบบค่าตอบแทนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ ให้คนวงกว้างร่วมกันตรวจสอบ โดยผลการศึกษา ได้ออกแบบแผนการบูรณาการการทำงานของหน่วยภาคีตรวจสอบข้อเท็จจริงออกเป็น 3 ระยะคือระสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ผ่านการบูรณาการ 4 ประเด็น ได้แก่
1. คน : ในระยะสั้นพยายามให้ความรู้ด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงแก่บุคลากรที่มีอยู่ และขยายไปสู่ระยะกลางในการสร้างบรรณาธิการตรวจสอบและผู้ที่สามารถฝึกอบรมเพื่อไปขยายผล และในระยะยาวนำไปสู่การพัฒนาบุคคลากรในการบริหารจัดการองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง
2. เงิน : ในระยะสั้นมีการระดมแนวทางในการหาทุน ไปสู่ระยะกลางที่จะมีการระดมทุนจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสื่อทั้งในและนอกประเทศ และในระยะยาวจะมีการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการใช้เงินค่าปรับจากการทำความผิดด้านข้อมูลข่าวสารมาใช้ในการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง
3. วัสดุอุปกรณ์ : ในระยะสั้นจะเป็นการจัดหาเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานตรวจสอบ ระยะกลางเป็นการขยายระบบงานเทคโนโลยีให้มีความเชื่อมต่อกัน และในระยะยาวควรมีการพัฒนาระบบที่จะเป็นฐานข้อมูลกลางทั้งในการตรวจสอบเผยแพร่ข้อมูล และนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการทำงาน
4. การบริหารจัดการ : ในระยะสั้นควรมีการสร้างเครือข่ายในเชิงพื้นที่และเชิงประเด็น และมีการพัฒนายกระดับความสัมพันธ์ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในระยะกลาง และในระยะยาวพยายามสานต่อการทำงานร่วมกันไปจนถึงการผลักดันให้เกิดการยกระดับองค์กรตรวจสอบให้ได้รับการรองรับตามมาตรฐานสากล เช่น IFCN เป็นต้น