บิ๊กเอกชนชี้MOUตั้งรัฐบาลไม่ยืดเยื้อ

23 พ.ค. 2566 | 18:39 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ค. 2566 | 18:46 น.

บิ๊กเอกชนชี้MOUตั้งรัฐบาลสร้างความมั่นใจให้ทุกภาคส่วนในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศแบบไร้รอยต่อ ด้านภาคเอกชนจับตากระบวนการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยไม่ยืดเยื้อ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลัง 8 พรรคการเมือง ลงนาม MOU จัดตั้งรัฐบาล โดยมีเนื้อหา 23 ข้อ และ 5 แนวทางปฏิบัติ ซึ่งหอการค้าฯ มองว่าเป็นการทำการบ้านและเตรียมความพร้อมของชุดนโยบายต่าง ๆ ที่เชื่อว่าจะออกมาทันทีหลังจากกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ ซึ่งส่วนนี้มีความสำคัญมากในแง่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศแบบไร้รอยต่อ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

  สิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนจับตามองจากนี้คือกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อยไม่ยืดเยื้อ เพื่อให้ประเด็นต่างๆ ที่ทุกพรรคได้ตกลงกันไว้ผ่าน MOU สามารถนำไปขับเคลื่อนในเชิงนโยบายและการปฏิบัติได้จริงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการเข้ามาเร่งจัดทำงบประมาณประจำปีเพื่อให้แผนงานและโครงการต่างๆ ของประเทศมีความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก

 

 

 

ทั้งนี้ หอการค้าฯ มองว่า 313 เสียง จาก 8 พรรค ตอนนี้ จุดแข็งคือมีเสียงข้างมากในสภาฯ ขณะเดียวกันจุดอ่อนก็คงยังเป็นความไม่แน่นอนว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ไหม ซึ่งก็ยังคงต้องรอเสียงเพิ่มเติมมั้งจาก ส.ส. และ สว. มาทำให้เกิดความแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าวันนี้ ประเด็นจากการ MOU ที่ออกมา น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ทั้ง ส.ส. และ สว. บางส่วนให้การสนับสนุนเพิ่มเติมจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้

สำหรับเนื้อหาของ MOU หอการค้าฯ มองเป็น 3 มิติสำคัญในการวางนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ คือ 1.  มิติด้านเศรษฐกิจ เห็นได้ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ผ่านประเด็นการร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม การจัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ การกำหนดค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเซียนและเวทีระหว่างประเทศ ตามกรอบความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือพหุภาคี ซึ่งส่วนนี้จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกได้มากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เพิ่มการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และแหล่งน้ำในภาคการเกษตร การตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งการอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME การยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า ลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หรือแม้แต่การแก้ไขกฎหมายประมง เหล่านี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกิดการลงทุนและการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยทะยานส่วนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้

2. มิติด้านสังคม  เราเห็นการวางแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมโดยรวม ทั้ง การเตรียมผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ การระบบสวัสดิการดูแลประชาชน การแก้ไขปัญหายาเสพติด การยกระดับระบบสาธารณสุขเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การปฏิรูประบบการศึกษา และการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)

3. มิติด้านการเมือง ส่วนนี้จะเป็นการปฏิรูปการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของภาครัฐ ซึ่งท้ายที่สุดจะช่วยลดความขัดแย้งของสังคมได้มากขึ้น ทั้งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐ การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม

สำหรับ 5 แนวทางบริหารประเทศ เชื่อว่าส่วนนี้จะเป็นการวางกรอบการทำงานของแต่ละพรรคการเมืองผ่านฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างชัดเจน ภายใต้ข้อตกลงของร่วม เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน