เอเย่นต์จีนแห่ขายทัวร์ตรุษจีนเที่ยวไทยคึกคัก รับจีนเปิดประเทศ

28 ธ.ค. 2565 | 10:34 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2565 | 18:42 น.
1.5 k

ไทยสุดฮ้อตเอเย่นต์จีนแห่ขายทัวร์ตรุษจีนเที่ยวไทยคึกคัก รับจีนเปิดประเทศ ด้านแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจีน เผยคนจีนแห่วางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศ หลังยกเลิกมาตรการกักตัวผู้เดินทางเข้าจีน ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไป โดยไทยติดโผยอดนิยม

จากกรณีที่จีนประกาศยกเลิกมาตรการกักตัวผู้โดยสารจากนอกประเทศที่เดินทางเข้าจีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไป โดยผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศยังต้องตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี PCR ก่อนเดินทาง 48 ชั่วโมง แต่ไม่ต้องส่งผลไปยังสถานทูตหรือสถานกงสุลจีนเพื่อลงทะเทียนรหัสแล้ว เพียงแสดงผลก่อนขึ้นเครื่องเท่านั้น ส่งผลให้คนจีนวางแผนเดินทางท่องเที่ยวออกนอกประเทศกันอย่างคึกคัก

นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หลังจากจีนออกประกาศฉบับที่ 1 ยกเลิกมาตรการกักตัวผู้โดยสารจากนอกประเทศที่เดินทางเข้าจีน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

 

ชูวิทย์ ศิริเวชกุล

 

ล่าสุดได้ออกประกาศเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ โดยประกาศฉบับที่ 2 อนุญาตให้คนจีนทำพาสปอร์ต และฉบับที่ 3 อนุญาตให้คนจีนขอวีซ่าเพื่อออกไปท่องเที่ยวได้ ส่งผลให้การตอบรับด้านการท่องเที่ยวของคนจีนที่ต้องการเดินทางออกมาเที่ยวไทยเพิ่มสูงขึ้น

 

เบื้องต้นได้ประชุมร่วมกับ ททท.ในจีนทันทีทั้ง 5 สำนักงาน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว คุนหมิง เฉินตู เพื่ออัพเดทแผนส่งเสริมการตลาดการขาย เพราะทันทีที่รัฐบาลจีนประกาศยกเลิกมาตรการโควิด-19 และทยอยเปิดประเทศมีชาวจีนเสิร์ซหาโปรแกรมเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 800 %

 

ขณะเดียวกันเอเย่นต์จากจีนก็ทยอยจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวขายการเดินทางมาเที่ยวไทยในช่วงตรุษจีนที่จะถึงนี้แล้ว

 

เอเย่นต์จีนแห่ขายทัวร์ตรุษจีนเที่ยวไทยคึกคัก รับจีนเปิดประเทศ เอเย่นต์จีนแห่ขายทัวร์ตรุษจีนเที่ยวไทยคึกคัก รับจีนเปิดประเทศ เอเย่นต์จีนแห่ขายทัวร์ตรุษจีนเที่ยวไทยคึกคัก รับจีนเปิดประเทศ

 

อีกทั้งในขณะนี้หลายสายการบินก็อยู่ระหว่างยื่นเรื่องไปยังกรมการบินพลเรือนของจีน ที่จะขอเพิ่มจำนวนเที่ยวบินที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คาดว่าจีนก็จะทยอยผ่อนคลายต่อไป จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ว่าจีนอนุญาตให้บินได้ตามสัดส่วนรวมทั้งสิ้นสัปดาห์ละไม่เกิน 30 เที่ยวเท่านั้น คือ ไทยบินได้  15 เที่ยว/สัปดาห์ จีนบินมาได้ 15 เที่ยว/สัปดาห์

 

นอกจากนี้ททท.ยังวางแผนเตรียมทำ Presale ด้วยการนำร่องจับมือกับซีอีโอบริษัท  ซีทริป (Ctrip) เอเย่นต์แพลตฟอร์มขายท่องเที่ยวรายใหญ่ในจีน เปิด Live สด ขายการท่องเที่ยวมาเมืองไทยในวันที่ 10-11 มกราคม 2566

 

ควบคู่กับเตรียมพร้อมร่วมมือกับพันธมิตรครอบคลุมทุกเครือข่ายเพื่อทำตลาดเชิงรุกนำนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่สุดและเป็นประเทศสุดท้ายประกาศยกเลิกโควิด-19 เดินทางมาท่องเที่ยวไทยให้ได้มากที่สุดเหมือนในอดีตที่ผ่านมา หลังคนจีนอั้นการเดินทางมานานกว่า 3 ปี

 

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การที่จีนเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม 2566 จะเป็นปัจจัยบวกอย่างแน่นอน ในด้านการท่องเที่ยวปี 2566 ซึ่งจะสามารถขยับตัวเลขเป้าหมายนักท่องเที่ยวจาก 20 ล้านคน เป็น 25 ล้านคน ซึ่งจะทำให้รายได้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 2.38 ล้านล้านบาทเบาขึ้น คือทำได้ตามเป้าหมาย หรือ สามารถจะมากกว่านั้นได้

 

ขณะที่นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 เตรียมเปิดประชุมตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยวทุกภาคส่วนของไทยทันทีทั้ง กลุ่มธุรกิจโรงแรม บริษัทนำเที่ยว สายการบิน ผู้บริหารสนามบิน เพื่อร่วมกันวางแผนรองรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่สุดของไทย

 

ยุทธศักดิ์ สุภสร

 

ททท.มีประเด็นเร่งด่วนที่จะเปิดประชุมตัวแทนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกภาคส่วนวันนี้ (วันที่ 28 ธันวาคม 2565) เพื่อระดมสมองเตรียมความพร้อมรับมือเมื่อมีนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวเมืองไทยปี 2566 เป็นต้นไป เบื้องต้นต้องเตรียมรับมือ 3 เรื่องหลัก ได้แก่

 

เรื่องที่ 1 บุคลากรบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะต้องกลับเข้าสู่ระบบได้สอดคล้องตามปริมาณของนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะบุคลากรที่สื่อสารภาษาจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เรื่องที่ 2 กำลังคนบริการภาคพื้นในสนามบินอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสัมภาระกระเป๋าผู้โดยสารจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

 

เรื่องที่ 3 เคาน์เตอร์รองรับสายการบินจีนที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง และเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทางเข้าออกประเทศ

 

ขณะที่บรรยากาศของผู้ประกอบการท่องเที่ยวของจีนก็ตื่นตัวมาก โดย ซีทริป (Ctrip) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวจีน เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาแค่ 30 นาที หลังจากที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ได้ประกาศเมื่อค่ำวันจันทร์ เรื่องจะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้เดินทางเข้าจีน ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

 

ปรากฏว่ามีชาวจีนเข้าไปสืบค้นข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมนอกจีนเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า โดยสถานที่ที่มีการสืบค้นมากที่สุดได้แก่ มาเก๊า ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย และเกาหลีใต้

 

'ชวี่หนา' (Qunar) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวอีกแห่งเผยว่า ในช่วง 15 นาที หลังจากทางการแจ้งข่าว มีการสืบค้นเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า โดยมี ไทย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นจุดหมายที่มีการสืบค้นมากที่สุด

 

นอกจากนั้น จากข้อมูลของเว็บไซต์ท่องเที่ยว Trip.com ก็พบว่า มีการจองตั๋วโดยสารทางเครื่องบินขาออกจากจีนเพิ่มขึ้น 254% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า

 

ด้านรอยเตอร์ส รายงานว่า บรรดาหุ้นของบริษัทสินค้าระดับไฮเอนด์ของโลก ซึ่งมีลูกค้าจีนเป็นจำนวนมากนั้น ก็พุ่งกระฉูดทีเดียว หลังจากที่จีนประกาศเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคมนี้ โดยในตลาดสินค้าระดับหรูนั้น มีลูกค้าชาวจีนคิดเป็นสัดส่วนถึง 21% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด 350,000 ล้านยูโร

 

กระนั้นก็ตาม ทางด้านบริษัทท่องเที่ยวจีนหลายแห่ง แนะว่า การที่สถานการณ์ท่องเที่ยวของชาวจีนจะกลับคืนสู่ระดับปกติก่อนหน้าช่วงการระบาดของโควิดได้นั้น อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน เนื่องจากชาวจีนเองก็น่าจะระมัดระวังการใช้จ่าย และระมัดระวังตัวมากขึ้นจากการกลับมาระบาดของโควิดเช่นกัน

 

ทั้งนี้หน่วยงานด้านสุขภาพของจีนระบุว่า การจัดการโรคโควิดของจีนยังจะถูกลดระดับเป็นประเภท B ที่มีความเข้มงวดน้อยลง จากระดับ A ในปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยลง การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าทางการจะไม่บังคับให้กักกันผู้ป่วยและผู้สัมผัสใกล้ชิด รวมถึงสั่งปิดพื้นที่อีกต่อไป

 

ขณะเดียวกัน ตันหวัง นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร ฮั่งเส็ง แบงก์ไชน่า มองว่า การยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจจีน ที่มีขนาดเศรษฐกิจถึง 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 588 ล้านล้านบาท) คาดว่าการเดินทางระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือน จึงจะกลับไปถึงระดับก่อนโควิดระบาด

 

พร้อมกับเตือนว่า โควิดที่ยังคงระบาดในพื้นที่ส่วนใหญ่ของจีน จะยังกระทบต่อตารางการทำงานตามปกติอย่างมาก ส่งผลให้จีนสูญเสียความสามารถในการผลิตอย่างสำคัญ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในช่วงหลายเดือนข้างหน้าอาจรุนแรง เพราะความต้องการสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน โดยที่ปริมาณสินค้าที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ