รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยตกต่ำเข้าขั้นโคม่า! ร่วงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกครั้งแรกในรอบ 21 ปี!หลายประเทศแซงหน้าเกิดอะไรขึ้นกับภาคเกษตรไทย? ทำไมขีดความสามารถในการแข่งขันถึงทรงกับทรุด และถูกหลายประเทศแซงหน้า? แล้วจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อในอนาคตของภาคเกษตรและเกษตรกรไทย? เราควรจะทำอย่างไรเพื่อทวงคืนขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน? มาหาคำตอบกันนะครับ
เกิดอะไรขึ้นกับภาคเกษตรไทย?
ล่าสุดทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA, 2022) ได้ทำการคำนวณดัชนีผลิตภาพปัจจัยการผลิตรวมในภาคเกษตรของหลายประเทศในโลกรวมถึงประเทศไทย โดยดัชนีนี้จะบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศนั้นโดยเชื่อมโยงปัจจัยการผลิต (เช่น ที่ดิน แรงงาน ทุน) ที่ใช้กับผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับ ซึ่งแสดงในภาพที่ 1 ดัชนีของไทยคือเส้นปะสีแดงซึ่งพบว่าแทบไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
ส่วนเส้นสีดำคือดัชนีที่เป็นค่าเฉลี่ยของโลก หากเปรียบเทียบไทยและค่าเฉลี่ยของโลกแล้วจะพบว่า ค่าดัชนีผลิตภาพปัจจัยการผลิตรวมในภาคเกษตรไทยไม่เคยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกเลยตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แต่ในปี 2563 เป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี ที่ดัชนีผลิตภาพปัจจัยการผลิตรวมในภาคเกษตรไทยถดถอยและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมาร์ อินโดนีเซีย จีน อินเดีย มีค่าดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและแซงหน้าประเทศไทย
ทำไมขีดความสามารถในการแข่งขันถึงทรงกับทรุด และถูกหลายประเทศแซงหน้า?
คำตอบ : หนึ่งในสาเหตุหลักคือการดำเนินนโยบายช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่าโดยไม่มีเงื่อนไขในการปรับตัวของเกษตรกรเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตหรือลดความเสี่ยงในการผลิตและการตลาด หากมองย้อนจากอดีตถึงปัจจุบันจะพบว่านโยบายเกษตรส่วนใหญ่จะวนเวียนโดยเน้นการแทรกแซงกลไกตลาดผ่านการช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่าโดยไม่มีเงื่อนไขซึ่งเน้นนโยบายประชานิยมเพื่อให้ได้คะแนนเสียงทางการเมือง
เช่น นโยบายรับจำนำข้าวที่ตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด นโยบายประกันรายได้ การพักชำระหนี้ ชดเชยค่าเก็บเกี่ยว เป็นต้น ซึ่งใช้งบประมาณหลักแสนล้านบาทในแต่ละปี โดยมักจะอ้างว่าต้องการยกระดับรายได้ให้เกษตรกรและต้องการให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม งานศึกษาในอดีต เช่น สมพร อิศวิลานนท์ (2556) นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ (2557) วิษณุ อรรถวานิช (2558) Attavanich (2016) และ Attavanich et al. (2019)
กลับพบว่านโยบายในลักษณะนี้จะลดแรงจูงใจในการปรับตัวของเกษตรกร และเพิ่มความเสี่ยงในการผลิตและการตลาดอีกด้วย เราคงได้เห็นข้อมูลรายได้และหนี้สินครัวเรือนเกษตรในหลายปีที่ผ่านแล้วว่ารายได้ครัวเรือนเกษตรปรับเพิ่มขึ้นน้อยมาก ขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนเกษตรทวีความรุนแรงมากขึ้น และเกษตรกรยังคงไม่หลุดพ้นจากวงจรความยากจน
ภาพที่ 2 เป็นตัวอย่างการกำหนดราคาเป้าหมายจากนโยบายประกันรายได้ซึ่งพบว่านโยบายประกันรายได้ที่ใช้ในปัจจุบันไม่ได้ช่วยให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรลดลง ไม่ได้ช่วยให้รายได้สุทธิเพิ่ม หรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ภาพที่ 2 การกำหนดราคาเป้าหมายจากนโยบายประกันรายได้
อีกหนึ่งตัวอย่างคือนโยบายเกษตรไทยสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (ภาพที่ 3)ซึ่งพบว่าเกษตรกร 1 ครัวเรือน ได้รับความช่วยเหลือหลายโครงการ และนโยบายส่วนใหญ่ส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น เน้นให้การช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่า เช่น ชดเชยค่าเก็บเกี่ยว พักหนี้ เยียวยาภัยพิบัติ นโยบายดีๆ ที่ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและลดความเสี่ยงในการผลิตมีน้อยมาก เช่น พืชหลังนา เกษตรอินทรีย์/GAP
และอีกหนึ่งตัวอย่าง คือ โครงการรับจำนำข้าวแบบประชานิยม โดยรัฐบาลจะรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรทุกเม็ด และตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด ทำให้คุณภาพข้าวไทยถดถอย งานศึกษาในอดีต เช่น สมพร อิศวิลานนท์ (2556) Attavanich (2016) วิษณุ อรรถวานิช (2558) John (2013) และ Mahathanaseth and Tauer (2014) พบว่า นโยบายนี้ไม่ได้ช่วยให้ภาระหนี้สินของเกษตรกรลดลงเกษตรกรรายย่อยได้ประโยชน์น้อยกว่าเกษตรกรรายกลางและรายใหญ่ เกษตรกรได้ประโยชน์ในระยะสั้นเท่านั้น แต่ส่งผลเสียในระยะกลางถึงยาวเกษตรกรไม่ได้ใช้เงินจากโครงการไปลงทุนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตช่วยยกระดับราคาข้าวในตลาดโลกได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเพิ่มอำนาจตลาดในการกำหนดราคาข้าวในตลาดโลก และไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากผลประโยชน์ที่ได้น้อยกว่างบประมาณที่ใช้จ่ายแล้วจะส่งผลกระทบอย่างไรต่ออนาคตของภาคเกษตรและเกษตรกรไทย?
ในโลกของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น การแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว หากเกษตรกรไม่ปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ภาระงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้งบประมาณใช้จ่ายเพื่อการลงทุนยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของภาครัฐมีแนวโน้มลดลง ท้ายสุด ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลกจะลดลง ส่งผลกระทบเชิงลบย้อนกลับมาสู่เกษตรกร ทำให้เกษตรกรไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรความยากจนได้ นอกจากนั้น ผู้ประกอบการขั้นกลางน้ำและปลายน้ำที่ต้องพึ่งพาผลผลิตจากเกษตรกรจะมีความเสี่ยงด้านต้นทุนมากขึ้น และสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
เราควรจะทำอย่างไรเพื่อทวงคืนขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน?
จริงๆ มีสิ่งที่ควรทำหลายประเด็น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือควรปรับลดนโยบายที่ให้การช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่าและเพิ่มนโยบายที่ให้การช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขในการปรับตัวมากขึ้น ซึ่งจะเกิดผลดีกับเกษตรกรและภาคเกษตรไทยในระยะยาวและยั่งยืน ตัวอย่างเช่น นโยบายประกันรายได้หรือประกันราคาควรดำเนินการแบบชั่วคราวและมาพร้อมเงื่อนไขในการปรับตัวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า และลดความเสี่ยงในการผลิตและการตลาด เช่น การปรับเปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง การไม่เผาเมื่อเก็บเกี่ยวและจัดการแปลง ปลูกพืชตามความเหมาะสมของดินและน้ำ การใช้ท่อนพันธุ์สะอาดหรือท่อนพันธุ์ทนทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง การอบรมและฝึกทดลองการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
แล้วเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น คนไทยควรทำอย่างไร?
เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า มาช่วยกันสร้างบรรทัดฐานใหม่ โดยขอให้ทุกพรรคการเมืองออกนโยบายที่สร้างสรรค์ซึ่งนำไปสู่การยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและลดความเสี่ยงในการผลิตและการตลาดอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตลดลงรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น และหนี้สินครัวเรือนลดลงนโยบายที่ดียังทำให้ผู้ประกอบการที่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรมีความแน่นอนมากขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพของผลผลิตที่รับซื้อและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ขอฝากให้คนไทยทุกคนช่วยกันเลือกพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายสร้างสรรค์ที่เกิดผลประโยชน์กับประเทศไทยอย่างยั่งยืน ไม่ใช่นโยบายประชานิยมที่ประเทศไทยได้ประโยชน์น้อยมากและไม่ยั่งยืน ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อสังคมไทยของเราที่ดีขึ้นครับ