น้ำมัน WTI ปิดร่วง 3.05 ดอลล์ กังวลผลกระทบเฟดขึ้นดอกเบี้ย

06 ธ.ค. 2565 | 06:45 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ธ.ค. 2565 | 14:01 น.

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์ (5 ธ.ค.) ร่วง 3.05 ดอลลาร์ หลังข้อมูลภาคบริการของสหรัฐสร้างความกังวลว่า เฟด อาจเดินหน้านโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ย

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 3.05 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 76.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
         

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 2.89 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 82.68 ดอลลาร์/บาร์เรล

          

ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากการที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 2 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ธ.ค. ซึ่งเป็นการคงนโยบายการผลิต หลังจากที่มีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ดีสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเฟดอาจจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไป หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการและตัวเลขการจ้างงานที่ขยายตัวสูงกว่าคาดในเดือนพ.ย.

 

ทั้งนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 56.5 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 54.4 ในเดือนต.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 53.1 โดยดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ
         

ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 263,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง ส่วนตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน พุ่งขึ้น 5.1% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.6% โดยตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ


สำหรับความเคลื่อนไหวในด้านอื่น ๆ นั้น ที่ประชุมสหภาพยุโรป (EU) ได้บรรลุข้อตกลงในการกำหนดราคาที่ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. นอกจากนี้ ที่ประชุมได้กำหนดให้มีการทบทวนมาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพดานราคาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของราคาตลาดอย่างน้อย 5%  
          

ทั้งนี้ มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้รัสเซียมีรายได้ลดลงจากการจำหน่ายน้ำมันที่จะนำไปสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน แต่ก็จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลกจนทำให้เกิดภาวะขาดแคลน