สเต็ปโต “WARRIX” สปอร์ตแวร์สัญชาติไทย 9 ปี “พันล้าน”

25 พ.ย. 2565 | 09:37 น.
อัปเดตล่าสุด :25 พ.ย. 2565 | 17:28 น.

ย้อนรอยเส้นทางการเติบโต “WARRIX” 9 ปี “พันล้าน” ด้วยกลยุทธ์นอกสายตา “sport Licening” พร้อมเดินต่อใน New Chapter สลัดกรอป “สปอร์ตแวร์” สู่ Health and lifestyle solution

“WARRIX”  เป็นชื่อที่แฟนกีฬาคุ้นหูเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ผลิตเสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทยที่สบประสบความสำเร็จอย่างสูงจนสามารถก้าวขึ้นมายืนแถวหน้าของอุตสาหกรรมกับยอดขาย “พันล้าน” ในระยะเวลาเพียง 9ปี เท่านั้น

สเต็ปโต “WARRIX” สปอร์ตแวร์สัญชาติไทย 9 ปี “พันล้าน”

ทั้งนี้นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX  เปิดเผยถึงความสำเร็จที่ผ่านมาว่า  “ เราเกิดและเติบโตจากคำว่า “สปอร์ตแวร์” ถ้าเราเดินตามรอยเจ้าตลาดเดิมเราจะไม่มีทางแจ้งเกิดได้ เราจึงสร้างเกมใหม่ในการสร้างแบรนด์โดยการใช้ license marketing ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ในภูมิภาคนี้ยังใช้กันน้อยและถูกสอนใน business school ว่าไม่มีแล้วในโลกของ business ปัจจุบัน แต่จริงๆยังมีอยู่

 

เรามี ไลเซ่นส์ในมือมากกว่า 16 ไลเซ่นส์ ในระยะเวลาตามสัญญาตั้งแต่ 1-15 ปี ทำให้เราผูกขาดพื้นที่ทางการตลาดทั้งในระดับชาติและในระดับสโมสร จนบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด และจากสถิติข้อมูลแฟนกีฬากว่า 60% ไม่เพียงแต่สนใจชุดกีฬาของทีมเท่านั้นส่วนมากหันมาสนใจและติดตามผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วยและทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายระดับพันล้านได้”

สเต็ปโต “WARRIX” สปอร์ตแวร์สัญชาติไทย 9 ปี “พันล้าน”

เพื่อสอดรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของบริษัทนอกเหนือแนวทางฟุตบอล บาสเกตบอลและกอล์ฟ  “WARRIX” ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สู่เซ็กเมนต์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์เสื้อลำลอง เสื้อโปโลที่ใช้นวัตกรรมและดีไซน์ให้สามารถใส่ทำงานหรือทำกิจกรรมทั่วไปได้ ซึ่งเป็นการสร้างการเติบโตทางด้านสินค้า Active and Lifestyle ที่ได้รับการตอบรับจากวัยทำงานและลูกค้าองค์กรทั่วประเทศ

 

“เราเติบโตด้วยความเป็นกีฬา จนคนมองเราเป็นสปอร์ตแวร์อย่างเดียวแต่จริงๆแบรนด์“WARRIX” เป็น health active lifestyle จึงไม่แปลกที่เราจะต่อยอดจาก sport เป็น health and lifestyle สิ่งเหล่านี้เราทำตามโจทย์ของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปโดยมีโควิดเป็นตัวเร่ง นอกจากนี้เรายังนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่และใช้วัตถุดิบเกรดเดียวกับ global brand ที่เป็นสินค้าเกรดสูงสุดที่ผลิตได้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้ากีฬา มาผลิตสินค้าออกสู่ตลาดได้ภายในเวลา 6 เดือนหรือต่ำกว่า 6 เดือน ในขณะที่ Global Brand  หรือแบรนด์อื่นต้องใช้เวลา 1 ปี ให้คนไทยและลูกค้าในภูมิภาคอาเซียนได้ใช้สินค้าคุณภาพสูงสุดในราคาที่จับต้องได้”

 

เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทบริการด้านสุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ “WARRIX” ให้ความสำคัญไม่แพ้กันในขยายธุรกิจจากคำว่าสปอร์ตแวร์ไปสู่ health active lifestyle เริ่มจากการเปิดศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาแบบครบวงจรให้บริการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพให้กับกลุ่มลูกค้านักกีฬา บุคคลทั่วไป และผู้สูงอายุโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมกับอุปกรณ์มาตรฐานระดับสากลที่ทั่วโลกยอมรับ สาขาแรกตั้งอยู่ที่ Stadium One และสาขาที่ 2 ตั้งอยู่ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งวางแผนจะพัฒนาเป็น WARRIX Run Hub นอกจากมีโค้ชที่จะช่วยเทรนแล้วยังมีการจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งครบวงจร

 

"เราไม่ได้เป็นแค่แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาแต่เรามุ่งมั่นที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นผู้นำด้าน health active lifestyle เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าและตลาดของวิทยาศาสตร์การกีฬาใหญ่กว่า สปอร์ตแวร์ เวลเนสและสปาเยอะมาก แต่เราจะเติบโตแบบแบบระมัดระวังและมีองค์ความรู้”

สเต็ปโต “WARRIX” สปอร์ตแวร์สัญชาติไทย 9 ปี “พันล้าน”

ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า “โลกเปลี่ยนไป business landscape เองก็เปลี่ยนไปด้วย ขณะที่แบรนด์ก็เติบโตตามไปด้วยแบรนด์ “WARRIX” ก็วิ่งเข้าหาไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ การเติบโตของแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยอาจจะสูญเสียความได้เปรียบเมื่อแบรนด์อินเตอร์เข้ามาบุกตลาดในประเทศไทย  แต่ด้วยความแข็งแรงในความเป็นสปอร์ตแวร์ ของ“WARRIX”เราจึงทำสินค้า “สปอร์ตแฟชั่นไลฟ์สไตล์” ออกมา เพราะ global trendการใส่สูทผูกไทด์น้อยลงมีการยอมรับการใส่เสื้อผ้าแนว sport ในการทำงานมากขึ้น  “

 

WARRIX”จึงมูฟแบรนด์จาก sport ก้าวข้ามไปสู่ health active lifestyle ประกอบกับในภูมิภาคอาเซียนยังไม่มีแบรนด์ Leader ทั้งในตลาดสปอร์ตและตลาด health active  lifestyle ดังนั้นเราใช้วิทยาศาสตร์การกีฬามาต่อยอดในความเป็น product สู่ความเป็นวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ตลาดใหญ่กว่าตลาดเดิมที่“WARRIX”เคยอยู่นับ 10 เท่า”

 

แม้ทั่วโลกจะต้องเจอกับสถานการณ์โควิดตลอด 3 ปีที่ผ่านมาแต่ “WARRIX” ไม่ได้ยอมยกธงขาวให้กับปัญหาแต่อย่างใด “WARRIX” ตัดสินใจปรับเปลี่ยนธุรกิจบนพื้นฐานความจริงโดยเริ่มจากการบริหารจัดการประสิทธิภาพในองค์กร เช่นการลดต้นทุนปรับกระบวนการให้กระชับมากขึ้นรวมไปถึงการให้ความสำคัญกับ e-commerce ทั้งการลงทุนกับระบบ data management และการใช้เทคโนโลยี AI ทำให้ปัจจุบันสามารถพัฒนาเว็บไซต์ได้ในรูปแบบของmall.comพร้อมกับการเพิ่มช่องทางสินค้าในตลาดออนไลน์ อย่าง lazada shopee และ jd central รวมถึงการสร้างเครือข่ายกว่า 400 ร้านค้าทั่วประเทศ

 

“เรานิยามตัวเองว่าเป็น Game changer ทุก license ที่ได้มามีกำไรจากทุกช่องทางจำหน่าย ที่เราปูพรมตลาดเดิมอย่างที่เจ้าถิ่นทำไว้ ทั้งผ่านดีลเลอร์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศ ต่างจังหวัด มีโมเดิร์นเทรดครบ และที่สร้างใหม่คือการขายผ่าน24 shoppingของเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นวิธีการสร้าง new distribution channel ชั่วข้ามคืนโดยไม่ต้องเปิด shop เพราะการขยายกิจการโดยเปิดร้านหลายพันสาขาไม่ใช่สิ่งที่ควรเดินในอนาคตเพราะมีความเสี่ยงเยอะ แต่สิ่งที่ควรทำคือสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่ WIN-WIN ทั้ง2ฝ่าย  ปัจจุบัน new channel จากอีคอมเมิร์ซมีสัดส่วนยอดขาย 30% ของยอดขายรวม”

สเต็ปโต “WARRIX” สปอร์ตแวร์สัญชาติไทย 9 ปี “พันล้าน”

สำหรับเป้าหมายต่อไปของ “WARRIX” คือ การเติบโตในแนวกว้างและการทำสินค้าที่หลุดออกไปสู่คำว่าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่ผ่านมา“WARRIX”เริ่มขยายธุรกิจไปสู่ music industry หรือ food industry เช่นความร่วมมือกับคอนเสิร์ต big mountain ในการทำ “ ซูวีเนียร์” ของงานคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีคนเข้าร่วมคอนเสิร์ต 50,000 -70,000 คน ซึ่ง “WARRIX” พบว่ามีโอกาสแบรนด์จะโตในแนวกว้างโดยใช้เครื่องมือเดิม license marketing  เพราะในเกาหลีหรือญี่ปุ่น การทำซูวีเนียร์จากศิลปินหรืออุตสาหกรรมเพลงมียอดขายกว่า 90%ของรายได้ ส่วนรายได้จากการขายตั๋วคอนเสิร์ตไม่ถึง 5% แต่ในประเทศไทยหรืออาเซียนตัวเลขกลับตรงกันข้าม คือรายได้จากการขายตั๋ว 99%  

 

นอกจากนี้เสื้อสถาบันการศึกษาเป็นอีกหนึ่งไลน์เซ่นส์ที่น่าสนใจ  มหาลัยดังๆในต่างประเทศมีพื้นที่ขายซูวีเนียร์นับพันตารางเมตร แต่สถาบันการศึกษาในประเทศไทยแทบไม่มีพื้นที่ขายซูเนียร์มหาวิทยาลัยเลยนี่เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับ “WARRIX” ที่จะเข้าไปชิม ไปแตะ ในอนาคต รวมทั้งสินค้า Non-license เช่นเสื้อแบรนด์ “WARRIX” ด้วย

 

“เสื้อ warrix ที่เป็นNon-Licensed สามารถขายได้ในสัดส่วน 3-9 ตัว เมื่อเทียบกับลูกค้าที่มาซื้อเสื้อไลเซ่นส์  1 ตัว นั้นหมายความว่าลูกค้าที่ซื้อเสื้อไลเซ่นส์ ตัวแรกเราสามารถใช้ data management และเครื่องมือทาง e-commerce ทำให้เขาซื้อสินค้าได้อีก 3-9 ตัวนั่นคือรายได้อีก 80% ที่เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าที่เราได้จาก ไลเซ่นส์” 


ขณะเดียวกัน “WARRIX” ยังให้ความสำคัญกับ SDG หรือคาร์บอนเครดิตโดยทำเสื้อรีไซเคิลให้กับสโมสรฟุตบอลระดับจังหวัด รวมทั้งเสื้อรีไซเคิลออกขายจำนวนหลายหมื่นตัวต่อปีจากเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเสื้อกว่า 1.3 ล้านตัวต่อปี และหากใช้วิธีการย้อมแบบไม่ใช้น้ำซึ่งทำได้เฉพาะสีดำเท่านั้น จะทำให้มีคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการไม่ทำน้ำเสียได้อีกจำนวนมาก ดังนั้นในปี 2566 บริษัทจะเริ่มมองหาความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเศษผ้าที่เหลือไปทำยูนิฟอร์มบริษัท หรือทำเสื้อกีฬาประมาณหนึ่งล้านตัว

 

อย่างไรก็ตามผู้บริหารเชื่อว่า“WARRIX” จะเติบโตไปได้ถ้าไม่ถูกจำกัดเรื่องเงินทุน เมื่อเข้าสู่ตลาดทุนและเดินต่อหน้าอย่างระมัดระวังก็สามารถสร้างความเติบโตได้อย่างUnlimited growth ดังนั้น chapter ใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นของ “WARRIX” หลังจากนี้จะเกิดขึ้นจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์maiภายในปี 2565นี้


“ เมื่อเราใช้เครื่องมือทางการตลาดถูกต้องกับใช้ทรัพยากรของบริษัทที่เรามีอย่างลงตัวผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ 9 ปียอดขายบริษัทพันล้านซึ่งไม่ง่ายที่จะเป็นยอดขายจาก 0 จะขึ้นมาเป็นพันล้านใน 9 ปี ซึ่งตลอดระยะ 9 ปีเรามีทั้งความได้เปรียบ เสียเปรียบ เนื่องจากเป็น SME ที่เติบโตจากตลาดที่พึ่งพาตลาดเงินไม่ได้เข้าสู่ตลาดทุน แบงก์ก็ซัพพอร์ตเราดีที่สุดเท่าที่แบงก์จะซัพพอร์ตได้ แต่ยังดีไม่พอที่จะทำให้ “WARRIX” เติบโตไปอย่าง Unlimited growth ”

สเต็ปโต “WARRIX” สปอร์ตแวร์สัญชาติไทย 9 ปี “พันล้าน”

สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อปลดล็อค working capital ที่ไม่เพียงพอในอดีต เพื่อจะสร้างการเติบโตทางด้านยอดขาย ศักยภาพในการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรอื่นๆ และเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน 

 

นอกจากนี้เม็ดเงินส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ขยายศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งที่ 3 เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของ “WARRIX” ส่วนสุดท้ายจะใช้ลงทุนใน data management เฟส 2 และเฟส 3 เพื่อวางระบบ supply chain การสั่งซื้อหรือแม้กระทั่งการทำนายยอดขายจากพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

 

ในส่วนของต่างประเทศปัจจุบันมีการจัดตั้งบริษัทในสิงคโปร์และมาเลเซีย เพื่อเตรียมขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพราะฉะนั้นศักยภาพในการเติบโตของ“WARRIX”ในระยะยาวจะมีความต่อเนื่องด้วยเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำทางด้าน sport health and lifestyle ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ทั้งนี้ ภาพรวมอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬามีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ประมาณ  15-20% ต่อปี โดยปัจจุบันรายได้หลักของ “WARRIX” มาจากการจำหน่ายสินค้าในกลุ่ม Non-Licensed ได้แก่ สินค้าคลาสสิก 34.90%  สินค้าคอลเลกชัน 28.26%และสินค้าทำตามคำสั่ง (Made to Order)  16.21%

 

ขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือจะมาจากสินค้าในกลุ่ม Licensed ซึ่งประกอบด้วย สินค้าฟุตบอลทีมชาติ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12.68% สินค้าสโมสรฟุตบอล 3.99% และสินค้าลิขสิทธิ์อื่นๆ 1.89% นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าอื่นๆ อีก 0.54% และรายได้จากการให้บริการคลินิกกายภาพอยู่ที่ 0.47%