AAI ระดมทุน ขยายกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง บุกหนักตลาดจีน-ยุโรป

31 ก.ค. 2565 | 15:15 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ส.ค. 2565 | 17:19 น.

AAI ทุ่ม 660 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง-อาหารพร้อมทาน ดันรายได้ปี 65 โต 12% พร้อมเดินหน้าเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ รุกหนักตลาดจีนและยุโรป

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI กล่าวว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงปัจจุบันมีมูลค่าแสนล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตต่อเนื่อง 5% เนื่องจากประชากรมนุษย์และเพิ่มมากขึ้นเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น การมีบุตรลดน้อยลงทำให้ครอบครัวเอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น ดูแลในเรื่องของโภชนาการการดูแลสุขภาพหรือ “Pet Humanization” ซึ่งเป็นตัวหลักที่ไดร์ฟการเติบโตหลัก

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI

ในตลาดผู้ส่งออกหลักอาหารสัตว์เลี้ยงน้องหมาน้องแมวไทยอยู่อันดับ 3 ซึ่งคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าไทยน่าจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 หรืออันดับที่ 2 ได้ส่วนตลาดออกของไทยอันดับ 1 ยังคงเป็นอเมริกาอันดับ 2 เป็นญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปส่วนตลาดในประเทศมูลค่าของตลาดสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ 4 หมื่นล้านประมาณ 40 ถึง 50% เป็นตลาดสัตว์เลี้ยงเกือบ 20,000 ล้านบาท

               ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง สำหรับแมว

ปัจจุบัน AAI แบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง สำหรับสุนัขและแมว ทั้งแบบเปียกและแบบเม็ด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าที่เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับสากล และภายใต้เครื่องหมาย การค้าของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วย แบรนด์มองชู และแบรนด์มาเรีย เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าพรีเมียม แบรนด์มองชู บาลานซ์ และแบรนด์ฮาจิโกะ เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดมวลชน และแบรนด์โปร เจาะกลุ่มลูกค้าโดยเน้นการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก

 

2. ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรสและซอสปรุงรส รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทานภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งหมด อีกทั้งยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา เป็นต้น โดยตลาดหลักยังคงเป็นตลาดยุโรป และไทยยังคงเป็นผู้ผลิตหลักส่งออกไปยังอเมริกา ญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง

 

“สำหรับธุรกิจ AAI ที่ Spin-Off ออกมาจะประกอบไปด้วย ธุรกิจทูน่า ซึ่งเป็นการนำเนื้อทูน่ามาบรรจุในผลิตภัณฑ์ปิดผนึก ซึ่งเราจะสร้างมูลค่าเพิ่มโดยนำปรุงแกงไทยเช่นแกงมัสมั่น รวมไปถึงนำมาเติมวัตถุดิบอื่นเข้าไปในลักษณะของอาหารพร้อมทาน เช่นข้าวผัดสปาเก็ตตี้ พร้อมทาน

AAI ระดมทุน ขยายกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง  บุกหนักตลาดจีน-ยุโรป

ต่อมาเป็นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นธุรกิจที่เรามองว่ามีแนวโน้มที่เติบโต เรามีทั้งพอร์ตอาหารเปียก เจลลี่และอาหารเม็ด และในอนาคตเราจะเพิ่มไลน์ขนมขบเคี้ยวสำหรับน้องหมา น้องแมวด้วย และอีกธุรกิจ ก็คือเรานำผลผลิตพลอยได้จาก process tuna เช่นหัว หาง ก้าง มาทำเป็นปลาป่นเพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาหารสัตว์น้ำเศรษฐกิจ”

 

ด้านแผนการลงทุนในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุน 660 ล้านบาท แบ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 520 ล้านบาท เพื่อรองรับคำสั่งซื้อได้มากขึ้น โดยกำลังการผลิตสูงสุดจะเพิ่มเป็น 4.2 หมื่นตัน ในไตรมาส 2/2565 พร้อมปรับปรุงกระบวนการผลิตและโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง 85 ล้านบาท และปรับปรุงกระบวนการผลิต อื่นๆ 55 ล้านบาท สำหรับแผนระดมทุนหรือแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์คาดว่าน่าจะสามารถทำได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกรวมด้วย โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 12%

AAI ระดมทุน ขยายกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง  บุกหนักตลาดจีน-ยุโรป               

“บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มเป็น 2 เท่าภายใน 3-4 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับออร์เดอร์ที่กำลังจะเข้ามา รวมทั้งการขยายตลาดแบรนด์มองชู ฮาจิโกะ ในประเทศ ส่วนต่างประเทศเรามีการร่วมทุนและจัดตั้งบริษัทในประเทศจีนกับผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดในจีนเพื่อขยายตลาด เพราะเรามองแล้วว่าจีนเป็นตลาดที่มีประชากรสูงและมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยมากกว่าตลาดโลกและสุดท้ายเราจะมีการทำงานร่วมกับบริษัทร่วมทุนในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา”

              

อย่างไรก็ตามในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาการบริหารงานในยุคโควิดทำให้ตัวธุรกิจต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆหลายเรื่องแต่ผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทแม่ คือ บมจ.ของเอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น ยังมีเป็นผลประกอบการที่น่าประทับใจ โดยปี 2564 ที่ผ่ามาบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 9,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% โดยกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีสัดส่วนสูงที่สุด ราว 43% อยู่ที่ 4,206 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 22% รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็งสัดส่วนอยู่ที่ 35% รายได้อยู่ที่ 3,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%

              

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำอยู่ที่ 1,271 ล้านบาท ลดลง 7% กลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่าอยู่ที่ 849 ล้านบาท ลดลง 22 % ยอดขายทูน่าที่ลดลง เนื่องจากปัญหาค่าขนส่งทางเรือสูงและขาดแคลนแรงงาน ทำให้ต้องจัดสรรแรงงานที่มีอยู่อย่างจำกัดไปในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแทน

 

ขณะที่ผลประกอบการของAAI ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น จาก 3,588 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 4,985 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 18% ต่อปี ซึ่งรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่าง มีนัยสําคัญ ตามความสําเร็จในการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจ อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม และมีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 168 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 639 ล้านบาทในปี 2564 คิด เป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 95% ต่อปี

 

หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,805 วันที่ 31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565