"เดอะ คอฟฟี่ คลับ" แจมตลาดแพลนต์เบสเปิดตัว 4 กาแฟ Plant-based

17 พ.ค. 2565 | 16:40 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ค. 2565 | 00:15 น.

เดอะ คอฟฟี่ คลับ คัมแบ็กเขย่าตลาดกาแฟ ชูจุดขายร้านกาแฟออลเดย์ไดนิ่ง เสริฟกาแฟพรีเมียมพร้อมเปิดตัว 6 กาแฟ Plant-based รับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ ปูทางล๊อนซ์เมนูอาหาร Plant-based ไตรมาส 3 นี้

แพลนต์เบส หรือโปรตีนทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ร้านอาหารทยอยเปิดตัวเมนู แพลนต์เบส ออกมาชิมลางตลาดกันอย่างคึกคักในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

"เดอะ คอฟฟี่ คลับ" แจมตลาดแพลนต์เบสเปิดตัว 4 กาแฟ Plant-based

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าตลาดแพลนต์เบสในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2567 เติบโตได้เฉลี่ยถึงปีละ 10% นับเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และอัตรากำไร หนึ่งในนั้นคือ “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” ร้านกาแฟออลเดย์ไดนิ่ง ที่ล่าสุดเปิดตัวไลน์เครื่องดื่มกาแฟแพลนต์เบสถึง 4 เมนูออกมาเสิร์ฟตลาดผู้บริโภคยุคใหม่ โดยหวังว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างกว่าเดิมและเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากเครื่องดื่มมากกว่าเดิม

 

 

นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดอะ คอฟฟี่ คลับ ในฐานะร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่ง นอกจากการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มรสชาติดีมีความหลากหลายตลอดทั้งวัน อีกหนึ่งหัวใจหลักที่ทำให้ร้านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกกว่า 30 ปี คือ “กาแฟ” ที่ถือเป็นจุดเด่นของร้าน โดยเครื่องดื่มกาแฟของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ลูกค้าสามารถเลือกเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ต้องการได้ โดยมีให้เลือก 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ซิกเนเจอร์เบลนด์ (Signature Blend) ที่นำเข้าจากออสเตรเลีย และ สยามเบลนด์ (Siam Blend) ที่ปลูกจากทางภาคเหนือของไทย 

นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  รวมถึงที่สูตรกาแฟที่ใช้ในทุกสาขาจะเป็นไปตามมาตรฐานสูตรจากออสเตรเลียที่ได้ถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับคนไทยด้วยการทำให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ในขณะที่ด้านส่วนผสมอื่น ๆ ในกาแฟก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ 

โดยมีนมทางเลือกจากธัญพืชและพืชเพื่อคนรักสุขภาพ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่แพ้นมวัว หรือกลุ่มลูกค้าแพลนต์เบส (Plant-based) ทั้งหมด 4 ชนิดให้เลือกสรร ได้แก่ นมข้าวโอ๊ต (Oat Milk) ที่ถือเป็นนมไฮไลท์ของร้านที่กำลังได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยนมข้าวโอ๊ตของร้านใช้วัตถุดิบเป็นข้าวโอ๊ตนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งมีจุดเด่นคือความเข้มข้นของตัวนมและความหอมมัน พร้อมมอบรสสัมผัสใกล้เคียงกับนมวัวอย่างมาก ซึ่งพอนำมาผสมกับกาแฟก็ยังให้รสชาติความเข้มข้นของกาแฟได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เป็นนมอีกชนิดที่ได้รับความนิยมใกล้เคียงนมวัวเนื่องจากสามารถทำกาแฟได้หลายรสชาติ 

"เดอะ คอฟฟี่ คลับ" แจมตลาดแพลนต์เบสเปิดตัว 4 กาแฟ Plant-based

ต่อด้วย นมถั่วเหลือง (Soy Milk) ที่มีความหอมมันน้อยลงมา รวมถึง นมอัลมอนด์ (Almond Milk) และนมมะพร้าว (Coconut Milk) โดยทั้งนมอัลมอนด์และนมมะพร้าว เหมาะกับคนที่ชอบดื่มกาแฟรสชาติเบา ๆ ที่ไม่ต้องการความมันมากแต่ยังต้องการกลิ่นความหอมเฉพาะตัวของนมขณะดื่ม

 

ล่าสุด เดอะ คอฟฟี่ คลับ ได้เปิดตัว 6 เมนูเครื่องดื่มกาแฟใหม่ เอาใจคอกาแฟเลิฟเวอร์ ประกอบด้วย 4 เมนูกาแฟแพลนต์เบสนมทางเลือกจากธัญพืชและพืช ได้แก่ ลาเต้เย็นนมข้าวโอ๊ต (Iced Latte Oat Milk) ตามมาด้วย คาปูชิโน่เย็นนมมะพร้าว (Iced Cappuccino Coconut Milk) และ คาราเมลเย็นนมถั่วเหลือง (Iced Caramel Soy Milk) ในราคาแก้วละ 145 บาท และคาปูชิโน่เย็นนมอัลมอนด์ (Iced Cappuccino Almond Milk) ราคาแก้วละ 135 บาท รวมถึง 2 เมนูกาแฟผสมน้ำผลไม้และน้ำโทนิคใหม่ล่าสุด ได้แก่ เอสเพรซโซ่แพสชั่นโทนิค (Espresso Passion) และ เอสเพรซโซ่น้ำส้ม (Espresso Orange) ในราคาแก้วละ 130 บาท ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกจับคู่เครื่องดื่มกับเมนูของว่างใหม่ล่าสุด อาทิ Cranberry Pie, Chocolate Delight Tart, Parisian Ham Brie Kraftkorn Sandwich, Filled Croissant – Yuzu, Truffle Honey Brie Croissant และ Truffle Mushroom Cranberry Cruffin หรือจะทานคู่กับ Sweet Breakfast 2 เมนูขนมหวานใหม่ล่าสุดอย่าง Pancake with Berry Homemade รวมถึง Strawberry Waffle Homemade เพื่อให้อิ่มท้องมากขึ้นได้

 

ทั้งนี้ เดอะ คอฟฟี่ คลับ มีสัดส่วนยอดขายจากการขายเมนูกาแฟ คิดเป็น 60% โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าช่วงวัยทำงาน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเชื่อมั่นว่าการออกเมนูกาแฟใหม่ทั้งหมดนี้จะมาช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี

 

ซึ่งในปี 2565 ได้ตั้งเป้าสัดส่วนเมนูกาแฟให้เติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 20% ด้วยการออกแคมเปญทางการตลาด ทั้งโปรโมชันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการรับรู้และการบริโภคของลูกค้าให้มากขึ้นตลอดทั้งปี ผ่านทั้ง 31 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งการนั่งในร้าน เดลิเวอรี และ Grab & Go ย้ำภาพการเป็นร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่งชั้นนำที่พร้อมส่งมอบโมเมนต์ดี ๆ ที่มีได้ทุกวันสำหรับลูกค้าทุกคน

 

"เราต้องการที่จะเข้าถึงคนไทยให้มากขึ้น ณ ตอนนี้ เราถือว่าเรายังไม่ค่อยมีคู่แข่งเพราะร้านกาแฟที่มีอาหารเช้า ก็จะเน้นแต่กาแฟ บางร้านจะเน้นแต่อาหารเช้า แต่เจุดแข็งของเราก็คือการนำอาหารเช้าและมีกาแฟที่อร่อยให้บริการ เราต้องการให้ลูกค้าที่มาทานอาหารในร้านสั่งเครื่องดื่มให้ได้ทั้ง 100% จากปัจุบันจะสั่งเครื่องดื่มอยู่ประมาณ 80% ของลูกค้าทั้งหมด ที่ผ่านมาอาจมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากดื่มนมเราจึงทำนมทางเลือกเข้ามาเพื่อเพิ่มสัดส่วนลูกค้าที่จะเข้ามาดื่มกาแฟเรามากขึ้นจาก 70-80 %ขึ้นมาเป็น 100%ให้ได้"

 

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสที่ 3  เดอะ คอฟฟี่ คลับ ยังมีแผนเพิ่มเมนูอาหารแพลนต์เบสออกสู่ตลาดเพิ่มเติม ซึ่งปัจุบัน เดอะ คอฟฟี่ คลับมีสัดส่วนเครื่องดื่ม 60% และอาหาร40% ในส่วนของแผนขยายสาขาปีนี้เพิ่ม 4-5 สาขาภายในสิ้นปีจะมีสาขารวม 37 สาขา

"ตอนนี้เรามีสาขาอยู่ที่ 31 สาขา จากเดิมปี2019เรามี 60 สาขา ซึ่งเป็นสาขาอยู่ในภูเก็ตกว่า 20 สาขาและต้องปิดสาขาถาวรไปเกือบทั้งหมดเหลือเพียง 7 สาขาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อปิดภาระในเรื่องของค่าเช่าที่ ซึ่งเดือนมกราคมที่ผ่านมาเราได้มีการปรับแผนธุรกิจว่าเราจะจับคนไทยมากขึ้นเพราะฉะนั้นร้านที่เราจะขยายในอนาคตก็จะต้องมองโลเคชั่นที่เข้าถึงคนไทย

สาขาที่เราปิดไปแล้วเราจะไม่กลับมาเปิดแต่เราจะเปิดเพิ่มในสาขาใหม่ ในโลเคชั่นใหม่ที่คนไทยไป เราอยากให้ร้านนั้นสามารถขายทั้งอาหารเช้า take away และ delivery สำหรับการเติบโตในปีนี้เราจะเพิ่มจากปีที่แล้ว 2 เท่า หรือประมาณ 600 ล้านบาท"