Hua Hin Recharge วัคซีน 3.5 แสนโดส รับต่างชาติฉีดวัคซีนไม่กักตัว

25 พ.ค. 2564 | 16:50 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ค. 2564 | 15:35 น.
991

ภาครัฐ-เอกชนท่องเที่ยวในพื้นที่เทศบาลหัวหิน ผลักดันโครงการ Hua Hin Recharge ขอรัฐหนุนวัคซีน 3.5 แสนโดสฉีดในพื้นที่ ก่อนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัว 1 ตุลาคมนี้สำเร็จแล้ว

นายกรด โรจนเสถียร กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าในขณะนี้ภาครัฐ การท่องเที่ยวโรงพยาบาลและสาธารณสุข และภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจรถเช่า บริษัททัวร์ ฯลฯ ในพื้นที่เทศบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดตั้งทำงานจัดทำโครงการ Hua Hin Recharge

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดพื้นที่เทศบาลหัวหิน ให้เป็นพื้นที่สามารถเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ให้สามารถเดินทางมาพักในพื้นที่ได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป อันจะนำมาซึ่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการจ้างงานทั้งในพื้นที่และภาพรวมของประเทศ

ทั้งนี้จะมีการขอความเห็นชอบจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา  2019 ให้เทศบาลหัวหินเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพิจารณาการจัดสรรวัคซีนอย่างเร่งด่วน เพื่อผลักดันให้ภาครัฐเร่งจัดหาวัคซีนสำหรับประชาชน บุคคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และบุคลากรในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหินคิดเป็น 70% ของประชากรในพื้นที่

Hua Hin Recharge วัคซีน 3.5 แสนโดส รับต่างชาติฉีดวัคซีนไม่กักตัว

“ขอให้เริ่มทำการฉีดวัคซีนภายในเดือนมิถุนายนนี้เป็นเข็มแรก และฉีดเข็มที่ 2 ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะต้องใช้วัคซีน 353,498 โดส ฉีดให้คนในพื้นที่ 176,749 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 213,979 คน เพื่อให้เป็นพื้นที่นำร่องเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบถ้วน 2 โดส โดยไม่ต้องกักตัวได้”

เบื้องต้นได้นำเสนอเรื่องไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว และมีการหารือกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแล้ว ซึ่งรมต.ท่องเที่ยวจะนำโครงการ Hua Hin Recharge เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม ในวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา และทางททช.ก็เห็นชอบแล้ว

นอกจากนี้รมต.ท่องเที่ยวยังได้ให้คำแนะนำขยายพื้นที่เปิดเมืองไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวโดยรอบหัวหิน ได้แก่ ชะอำและปราณบุรี เพื่อให้ครอบคลุมการป้องกันการแพร่ระบาดและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาคและยังได้ให้ความมั่นใจการจัดสรรวัคซีนสู่พื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นลำดับถัดไปในเฟส 2 นั่นคือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวมถึงได้แนะนำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทยร่วมมือกันส่งต่อนักท่องเที่ยว และเป็นการปรับตัวตามหน้ามรสุม

หากเทศบาลเมืองหัวหินสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวได้ คาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง 100,000 คน สร้างรายได้แก่พื้นที่กว่า 1,200 ล้านบาท เป็นการพลิกฟื้นคืนชีวิตให้แก่ผู้ประกอบการ รวมถึงพนักงานและแรงงานในภาคธุรกิจบริการอีกกว่า 89,000 คน

การท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักของหัวหินและการจ้างงานหลักในพื้นที่เทศบาลหัวหิน ในปี 62 สร้างรายได้ 4.31 หมื่นล้านบาท มีนักท่องเทียวไทย 5.5 ล้านคน ต่างชาติ 1.6 ล้านคน แต่คนไทยโดยมากเป็นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนและจุนเจือเศรษฐกิจในพื้นที่ มีผู้ประกอบการมากมายต้องปิดกิจการ ลูกจ้างตกงานจำนวนมาก

นอกจากนี้หัวหินยังเป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติมาพักอาศัยระยะยาวและวัยเกษียญอายุพักอาศัยอยู่จำนวนมาก การไม่กักตัวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตัดสินใจเดินทางมาพักผ่อนที่หัวหิน ซึ่งภาคเอกชนหัวหินได้รับข้อมูลจากคู่ค้า บริษัททัวร์รายใหญ่ในต่างประเทศ และความประสงค์โดยตรงจากลูกค้าชาวต่างชาติว่า มีความประสงค์เดินทางมากท่องเที่ยวที่หัวหินอย่างแน่นอน หากการกักตัวถูกยกเลิก

นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์

นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และหนึ่งในหัวหน้าคณะทำงาน Hua Hin Recharge ได้ให้ข้อมูลด้านสาธารณสุขดังนี้ “ในขณะนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้เดินหน้าให้ข้อมูลและเชิญชวนประชาชนในพื้นที่มาลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

โดยได้เปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม สำหรับผู้ที่เป็นประชาชนตามเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ที่อายุไม่ถึง 60 ปี แต่มีโรคใน 7 โรคที่ระบุ รวมถึงประชาชนคนไทยที่อาศัยหรือทำงานอยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็น Whitelist ซึ่งมีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวนมากขึ้นตามลำดับ

ข่าวเกี่ยวข้อง: