ไทยเร่งแผนรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าบุกตลาด RCEP 

15 มี.ค. 2564 | 02:00 น.
697

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 เป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ เมื่อผู้นำชาติสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(อาร์เซ็ป / RCEP) 15 ประเทศ (ไม่รวมอินเดีย) ได้มีประชุมผ่านระบบทางไกลที่มีเวียดนามเป็นเจ้าภาพ สามารถสรุปผลการเจรจาและบรรลุความตกลงร่วมกันหลังรอคอยมา 8 ปี และได้มีการลงนามผ่านระบบออนไลน์ กลายเป็นเขตการค้าเสรี(FTA) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนำสู่ขั้นตอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

ทั้งนี้อาร์เซ็ปจะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 6 ประเทศ ให้สัตยาบันร่วมกับประเทศคู่เจรจา 3 ประเทศ โดยในส่วนของไทยเองนั้นคาดว่าจะเร่งดำเนินการให้สัตยาบันให้แล้วเสร็จประมาณกลางปีนี้ โดยเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมความพร้อมในการปรับกฎระเบียบภายในให้แล้วเสร็จก่อนยื่นหนังสือให้สัตยาบันต่อเลขาธิการอาเซียนหลังรัฐสภาได้ไฟเขียวในการให้สัตยาบันแล้ว

เร่งระบบรับรองถิ่นกำเนิด

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ  กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรมฯซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต(Self-certification by approved exporter) เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงอาร์เซ็ป อยู่ระหว่างการดำเนินการในเรื่องนี้

อย่างไรก็ดี ระหว่างที่ประเทศสมาชิกกำลังดำเนินการภายในเพื่อให้สัตยาบันนั้น ขณะนี้ฝ่ายเลขาธิการอาเซียนได้เร่งจัดทำแผนการเจรจาในส่วนของรายละเอียดในทางปฎิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องหารือรายละเอียดกับประเทศภาคีความตกลง 15 ประเทศ เช่น รูปแบบของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า รายละเอียดระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาตภายใต้ความตกลงอาร์เซ็ปและการบังคับใช้พิกัดศุลกากร 

การค้าไทย

พร้อมรับมือผลกระทบ  

ทั้งนี้คาดไทยจะสามารถพร้อมใช้ประโยชน์จากความตกลงได้กลางปีนี้ ทันกับความตกลงที่จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งในส่วนของกรมจะเร่งดำเนินการในการเตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องของการดำเนินการภายใน เช่น การเตรียมระบบออกหนังสือรับรองและการเตรียมบุคลากรภายในของกรมในส่วนของการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าหรือตรวจต้นทุน  เพื่อออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงควบคู่ไปกับการให้ความรู้ผู้ประกอบการ และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปิดตลาดสินค้า ไม่ว่าจะเป็นมาตร การเยียวยาการค้า AD/CVD/SG 

นอกจากนี้กรมมีแผนจัดทำประชาสัมพันธ์เรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้าและและส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าตามพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ปกระกอบการตามภูมิภาคทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เช่น ชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ และอุดรธานี โดยจะเน้นในรูปแบบออนไลน์(Webinar) ก่อน แต่หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะลงพื้นที่จัดสัมมนาตามพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ประกอบการมากขึ้น  กีรติ รัชโน

“การจัดทำแผนเจรจาในการเรื่องการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือ CO ยังคงต้องหารือกับภาคีอาร์เซ็ป 15 ประเทศในเรื่องรูปแบบ ข้อมูลและการเชื่อมโยงระบบต่างๆ ระหว่างกัน ซึ่งฝ่ายเลขาธิการอาเซียนได้เริ่มเจรจากับประเทศสมาชิกอาร์เซ็ปในวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ช่วงนี้กรมได้เตรียมระบบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสำหรับความตกลงอาร์เซ็ป โดยจะเน้นการต่อยอดจากระบบเดิมที่มีอยู่ และจะดำเนินการควบคู่ไปกับการหารือกับประเทศภาค 15 ประเทศในรายละเอียดของรูปแบบฟอร์ม ทั้งนี้กรมได้ผลักดันระบบการพิมพ์หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ณ สถานประกอบการได้ด้วยตนเอง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปี 2565 ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออกไทยอีกทางหนึ่งด้วย”

3ทางเลือกกฎแหล่งกำเนิด

นายกีรติกล่าวเพิ่มว่า กฎถิ่นกำเนิดสินค้าของอาร์เซ็ปจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น แบ่งออกเป็น 3S คือ 1.S-Self-Certification ซึ่งปัจจุบันใช้ได้เฉพาะอาเซียน 10 ประเทศสมาชิก แต่จะขยายให้มีผลบังคับใช้ได้กับสมาชิกอาร์เซ็ปที่เพิ่มเติมเข้ามาอีก 5 ประเทศ 2.S-Same Rule กฎถิ่นกำเนิดสินค้าอาร์เซ็ปกฎเดียวซึ่งแต่ละประเทศสมาชิกสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศสมาชิกอาร์เซ็ปได้ทั้งหมด และ 3.S-Sourcing  คือมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้น กว่าความตกลงอาเซียน+1 (เดิม)

ขณะที่ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจาก อาร์เซ็ป เช่น เกาหลีใต้ มีสินค้าไทยที่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 413 รายการ เช่น เชื้อเพลิงที่ได้จากแร่ ผักผลไม้แปรรูป เนยแข็ง แชมพู นํ้ามันที่ได้จากพืช กระเบื้อง เป็นต้น ตลาดจีน สินค้าไทยที่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น 33 รายการ เช่น พริกไทย สับประรดแปรรูป นํ้ามะพร้าว แผ่นฟิลม์ แผ่นไวแสง เป็นต้น และตลาดญี่ปุ่น มีสินค้าที่ไทยได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 207 รายการ เช่น สินค้าประมง ผลไม้และลูกนัตปรุงแต่ง แป้งมันจากมันฝรั่ง แป้งสาคู เป็นต้น 

หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,661 วันที่ 14 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2564