ไทยขึ้นชั้นเบอร์ 4 โลกส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ปี 61 กว่า 4.2 หมื่นล้าน คาดปีนี้ยังโตได้ 10% ค่ายใหญ่ “ไทยยูเนี่ยน-ซีแวลู” ขยายผลิตรับตลาดโต ตลาดในประเทศพุ่ง 3.5 หมื่นล้าน
จากคนทั่วโลกครองความเป็นโสดมากขึ้น บางคู่แต่งงานแล้วไม่มีบุตร หลายประเทศรวมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยนิยมเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนคลายเหงา
ขณะที่วัยรุ่นคนยุคใหม่นิยมเลี้ยงสัตว์เป็นแฟชั่น โดยสัตว์เลี้ยงยอดฮิต 2 อันดับแรกคือ สุนัขและแมว ส่งผลสินค้าและบริการต่อเนื่องทั้งอาหารสัตว์เลี้ยง สถานพยาบาลสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวต่อเนื่อง
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากรในปี 2561 ไทยมีมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงทุกชนิด(สุนัข แมว ไก่ สุกร กุ้ง และอื่นๆ) 51,355 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% ในมูลค่าดังกล่าวเป็นการส่งออกอาหารสุนัขและแมว 42,600 ล้านบาท(สัดส่วน 83%) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12%
“ข้อมูลที่น่าสนใจในปีที่ผ่านมา ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก เป็นรองเพียงเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหรัฐฯเท่านั้น จากในปี 2561 ตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกมีมูลค่า 14,342 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.5 แสนล้านบาท คำนวณที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ช่วงที่ผ่านมาตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยโตปีละ 7-10% ซึ่งเศรษฐกิจโลกมีผลต่อธุรกิจสัตว์เลี้ยงน้อย เพราะคนเลี้ยงส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพรีเมียมและมีกำลังซื้อ ปัจจุบันอาหารหมา แมวแพงกว่าอาหารคน 2-3 เท่าเพื่อให้สัตว์อยู่ดี กินดี เพราะถ้าเจ็บป่วยค่ารักษาก็แพง”
ขณะที่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2561 มีมูลค่า 3.22 หมื่นล้านบาท(ข้อมูลจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ) ในจำนวนนี้ตลาดอาหารสัตว์มีมูลค่ามากสุด 1.46 หมื่นล้านบาท(กราฟิกประกอบ) คาดปีนี้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทยจะขยายตัว 7-10% หรือมีมูลค่าประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท จากมีการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งโรงพยาบาลสัตว์ โรงแรม คอนโดฯ สปา ตัดขน อาบนํ้า แต่งเล็บ ตัดแต่งผมตามแฟชั่น จัดแต่งงานสัตว์เลี้ยง ให้เช่าสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
นายอมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแวลู จำกัด(มหาชน) ผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ เผยว่า ในปีที่ผ่านมาจากยอดขายของบริษัท 2.5 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้สัดส่วน 25% (ประมาณ 6,250 ล้านบาท)มาจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง จาก 1-2 ปีก่อนหน้านั้นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 20% จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนกว่า 700 ล้านบาทในการตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งใหม่ที่จ.สมุทรสาคร คาดจะเปิดดำนินการได้กลางปี 2563 ตั้งเป้าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีกปีละ 2,500-3,000 ล้านบาท
“อาหารสุนัขและแมวที่บริษัทผลิตเน้นการส่งออกเป็นหลัก 80% โดยผลิตในแบรนด์ลูกค้า(โออีเอ็ม) 90% และอีก 10% ในแบรนด์ของเราเองภายใต้
แบรนด์เพ็ทซิโม (Petsimo)ที่เน้นทำตลาดในประเทศ”
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือทียู เผยว่า จากยอดขายของบริษัทในครึ่งแรกของปี 2562 ที่ 6.15 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า 9,131 ล้านบาท หรือสัดส่วน 15% ของยอดขายรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่ 8,530 ล้านบาท คิดเป็น 14% ของยอดขายรวม อาหารสัตว์เลี้ยงที่ไทยยูเนี่ยนผลิตภายใต้แบรนด์ลูกค้าสัดส่วน 87% ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น และแบรนด์ของบริษัท 13% โดยอาหารแมวภายใต้แบรนด์ Bellotta และอาหารสุนัขภายใต้แบรนด์ Marvo เน้นทำตลาดในประเทศ
ข้อมูลในปี 2561 บริษัทที่ทำเงินได้สูงสุดในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก อันดับ 1 คือ Mars Petcare Inc. ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงในเครือ Mars จากสหรัฐฯ มีแบรนด์ดังคือ Pedigree และ Whiskas ยืนยันได้จากผลประกอบการปีละ 17,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 533,200 ล้านบาท)อันดับ 2 คือ Nestle Purina Petcare จากสวิตเซอร์แลนด์ ผลประกอบการต่อปี 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 387,500 ล้านบาท) และอันดับ 3 คือ Hill’s Pet Nutrition จากสหรัฐฯผลประกอบการต่อปี 2,292 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 71,052 ล้านบาท)
ส่วนตลาดใหญ่สุด 5 อันดับแรกของการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกคาดการณ์ในปี 2562 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 29,793 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 9.23 แสนล้านบาท คำนวณที่ 31 บาทต่อดอลลาร์), สหราชอาณาจักร 4,824 ล้านดอลลาร์ (1.49 แสนล้านบาท), ฝรั่งเศส 4,409 ล้านดอลลาร์ (1.36 แสนล้านบาท), บราซิล 4,382 ล้านดอลลาร์ (1.35 แสนล้านบาท) และเยอรมนี 3,129 ล้านดอลลาร์ (9.69 หมื่นล้านบาท)
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3511 วันที่ 6-9 ตุลาคม 2562