อันตรายจากอาหารรสหวานต่อผู้สูงวัย

28 ม.ค. 2566 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ม.ค. 2566 | 06:59 น.

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตอนกลางวันลูกชายชวนไปทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าดังระดับมิชลิน ที่เขามาเปิดร้านแถบถนนรามคำแหง ปกติผมกลางวันไม่ค่อยได้ออกไปทานอาหารกลางวันนอกออฟฟิศเท่าไหร่ ส่วนมากแม่บ้านบริษัทจะเป็นผู้จัดหามาให้  จัดอะไรมาก็ทานๆไป ให้หมดไปหนึ่งมื้อ 

แต่วันนั้นลูกชายชวนเลยออกไปทานดู ปรากฏว่าผิดหวังมาก เพราะก๋วยเตี๋ยวหวานมาก ปกติผมทานเกาเหลาหรือก๋วยเตี๋ยวมักจะไม่ชอบปรุงรสเลย วันนี้ก็เช่นกัน แต่พอซดน้ำซุปเข้าไปคำแรก ทำไมรสชาติของน้ำซุปจึงหวานน้ำตาลมากๆ แทบทานไม่ลงเลยครับ เลยบ่นกับลูกๆว่า ทำไมเขาชอบใส่น้ำตาลกันจังเลย หรือเป็นเพราะที่บ้านจะไม่ทานกับข้าวรสหวาน เลยผิดลิ้นไปหรือเปล่านี่!!!
         
ปัจจุบันนี้รสชาติอาหารที่เมืองไทยเรา มักจะใช้น้ำตาลมาปรุงรสกันเยอะมาก อาจจะเป็นว่าในอดีตมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เรารณรงค์ไม่ทานผงชูรสกัน เลยทำให้พ่อครัว-แม่ครัวหันมาใช้น้ำตาลเป็นตัวนำแทนผงชูรส เพื่อให้รสชาติอาหารกลมกล่อมขึ้น แต่หารู้ไม่ว่า นั่นเป็นการทำลายสุขภาพร่างกายยังไม่พอ ยังทำลายรสชาติอาหารไทยเราไปอย่างสิ้นเชิง 

เพราะอาหารไทยแท้ๆ จากรุ่นพ่อ-รุ่นแม่เรา จะมีไม่กี่เมนูที่รสชาติออกหวาน แม้แต่น้ำพริกกะปิในอดีต บางบ้านยังไม่เหยาะน้ำตาลเลยครับ จะมีเพียงแกงพะแนง แกงเขียวหวาน หรือแกงส้มเท่านั้น อาหารอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็น แกงจืด ผัดผัก หรือต้มยำกุ้ง ก็จะไม่ออกหวาน นอกจากน้ำซุปต้มยำกุ้งที่เป็นรสอาจจะหวานจากตัวกุ้งเท่านั้น แต่วันนี้ทุกอย่างต้องปรุงรสด้วยน้ำตาลแทบทั้งสิ้นเลยครับ นั่นเป็นการทำลายสุขภาพคนแก่อย่างพวกผมเสียแล้วจริงๆ
      
การทานอาหารที่มีรสหวานเยอะๆ นั้น ในทางด้านสุขอนามัยของคนเรา อาจจะมีหลากหลายโรคภัยที่ติดมากับอาหารเหล่านั้นด้วย เพราะจริงๆ แล้ว หากเรามีโรคประจำตัวบางอย่าง อาหารทุกมื้อทุกวันเราไม่ควรแตะต้องรสหวานมากเกินไปเลยครับ ทานได้แต่ไม่ควรจะเกินสี่ช้อนชาต่อวัน ยิ่งคนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ยิ่งต้องระวังครับ แต่โรคเหล่านี้มักจะมากับวัยของเราที่สูงวัยมากขึ้น โดยเฉพาะจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในสังคมเมือง หรือคนที่มีอันจะกินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะพบเห็นอยู่มากเลยครับ
        
การลดการบริโภคน้ำตาลต่อวัน หรือการลดน้ำหนักด้วยการลดทานน้ำตาล ด้วยความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องงดทั้งหมดเลยนะครับ นั่นอาจจะเป็นผลเสียต่อตัวเราเองก็เป็นไปได้ ผมเห็นเพื่อนบางคนโดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงบางคน ที่มีอายุยังไม่มากนัก แต่มีรูปร่างออกท้วมๆหน่อย พออยากลดความอ้วน ก็ขอไม่ทานน้ำตาลเอาเสียเลย 

ซึ่งในทางการสาธารณสุข ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะหารู้ไม่ว่าการที่ร่างกายขาดน้ำตาล ก็อาจจะส่งผลทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผลต่อมาก็อาจจะทำให้มีอาการต่างๆ ตามมา เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ และรู้สึกอ่อนเพลีย เป็นต้น การลดน้ำตาลจึงควรลดแต่พอประมาณ หรืออาจจะลดเฉพาะในอาหารคาวก็ได้ จากนั้นก็ทานขนมหรือของหวานบ้าง ก็เพียงจำกัดจำนวนไว้เพียงวันละไม่เกิน 4 ช้อนชาก็พอ จะได้ไม่ทำให้โหยหิวน้ำตาลจนเกินไปครับ
     
ถ้าหากเราอยากรู้เรื่องภัยอันตรายจากการทานอาหารที่มีรสหวานเกินขนาดทุกวัน ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา ก็สามารถหาดูได้จากนิตยสารทางการแพทย์ หรือสอบถามผู้รู้ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็ได้ เท่าที่ผมได้อ่านเจอมา ก็มีหลายอาการป่วยที่เกิดจากการทานอาหารรสหวานนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ อาการแก่ก่อนวัย อาการฟันผุหรือกระดูกพรุน โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือแม้แต่การเสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดอาการเหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง เซื่องซึมได้ครับ
        
เห็นมั้ยครับว่า การทานอาหารหวานเยอะๆ เป็นอันตรายต่อผู้ที่สูงวัยอย่างพวกเราจริงๆ คนที่มีอายุมากๆ หากยังขาดความหวานไม่ได้ ก็ใช้น้ำตาลในผลไม้มาทดแทนน้ำตาลทรายก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีนะครับ แต่ต้องเลือกทานผลไม้ที่มีความหวานน้อยหน่อยนะครับ ที่หวานมากๆ ก็เลี่ยงๆ เสียบ้างก็ดีนะครับ เราสามารถเลือกผลไม้ที่มีกากเยอะๆ หน่อยมาทดแทน 

นอกจากจะได้ความหวานแล้ว อาจจะช่วยการขับถ่ายได้ดีด้วย  อีกทั้งยังจะช่วยให้ร่างกายเราได้รับวิตามิน แร่ธาตุอย่างครบถ้วน แล้วยังมีใยอาหาร ซึ่งถือว่ามีประโยชน์และปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ ถามว่าจะไม่ให้ทานน้ำตาลจริงๆ เลยเหรอ ก็ทานได้นะครับ… เพียงแต่จะต้องเลือกทานอย่างพอดี เพื่อไม่ให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วตามมาภายหลังไงครับ  

ซึ่งถ้าโรคเหล่านั้นเข้ามาสู่ตัวเราแล้ว การรักษานั้นอาจจะใช้เงินทองมารักษา และระยะเวลาการรักษาที่นาน หรือทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูงกว่า อย่างไรแล้วก็ไม่ถือว่าคุ้มอยู่ดี ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การควบคุมอาหารที่มีรสหวาน เพื่อป้องกันอันตรายจากการกินน้ำตาลที่จะตามมาภายหลัง นั่นย่อมเป็นวิธีการบริโภคที่ชาญฉลาดที่สุดครับ
      
แล้วถ้าหากว่าทำไม่ได้จริงๆ ละ จะให้ทำอย่างไร? ผมก็หาทางออกให้ครับ ก็ให้สร้างความคิดใหม่ๆ คิดเอาเสียว่า “ตอนสมัยเรายังหนุ่มแน่น เราก็หวานเสียไม่มีอยู่แล้ว แก่แล้ว จะลดหวานลงเสียบ้าง ภรรยาคงไม่ว่ากระไรหรอกน่า” แค่นี้ก็น่าจะทำได้แล้วนะครับ