ทำความรู้จัก "โรคหลายบุคลิก"

17 เม.ย. 2567 | 15:30 น.
อัปเดตล่าสุด :17 เม.ย. 2567 | 16:38 น.

ทำความรู้จัก "โรคหลายบุคลิก" : Tricks for Life

โรคหลายบุคลิก หรือโรคหลายอัตลักษณ์ (Dissociative Identity Disorder) มีอยู่จริง ไม่ใช่เพียงเห็นในหน้าจอทีวี จากซีรีส์หรือละคร แม้จะมีโอกาสพบโรคนี้ได้น้อยมาก แต่โรคนี้เป็นโรคที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของตัวเองและคนรอบข้าง

นพ.ณชารินทร์ พิภพทรรศนีย์ จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า โรคหลายบุคลิก หรือโรคหลายอัตลักษณ์ (Dissociative Identity Disorder) เป็นโรคทางจิตเวชรูปแบบหนึ่ง ที่พบได้น้อยมาก โดยผู้ป่วยจะมีบุคลิก หรือ ตัวตน มากกว่าหนึ่งบุคลิก โดยบุคลิกเหล่านี้จะเข้าควบคุมพฤติกรรมในบางช่วงขณะ ซึ่งแต่ละบุคลิกจะมีความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ และพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้ป่วยอาจสูญเสียความทรงจำในระหว่างการเปลี่ยนบุคลิก

ทำความรู้จัก \"โรคหลายบุคลิก\"

สาเหตุของโรคหลายบุคลิก

ยังไม่ได้มีข้อสรุปชัดเจน สันนิษฐานว่าเกิดหลายปัจจัย ทั้งจากพันธุกรรมและประสบการณ์วัยเด็ก ที่อาจมีเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรงมาเป็นเวลานาน เช่น การโดนทำร้ายร่างกาย ถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก หรือสูญเสียคนที่รักไปเพราะเมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์ที่รุนแรงทางร่างกายและจิตใจจนไม่สามารถรับมือได้ สมองจึงสร้างกลไกป้องกันตัวเองโดยเปลี่ยนเป็นอีกบุคลิกเพื่อตัดขาดจากความทรงจำและตัวตนเดิม

อาการของโรคหลายบุคลิก

  • มีบุคลิกภาพ หรืออัตลักษณ์ 2 แบบขึ้นไป โดยแต่ละแบบแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และผลัดกันแสดงออกมา
  • ความทรงจำขาดหาย จำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไป
  • ได้ยินเสียงในหัวแต่ไม่ใช่เสียงตัวเอง
  • มองกระจกแล้วจำตัวเองไม่ได้

ช่วงเวลาเปลี่ยนบุคลิกอาจเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ และอาจเกิดขึ้นเพียงนาที ชั่วโมง หรืออาจเป็นวัน ๆ

แนวทางการรักษา

ปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการรักษาโรคหลายบุคลิก การกำหนดการรักษามักพิจารณาจากอาการ ความรุนแรง และปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ โดยมากการทำจิตบำบัด (Psychotherapy) เป็นวิธีการรักษาหลัก จิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา จะพูดคุยเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย และช่วยให้ผู้ป่วยได้พูดเกี่ยวกับความทรงจำอันเลวร้ายรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย

ทำความรู้จัก \"โรคหลายบุคลิก\"

เน้นการทำความเข้าใจสาเหตุ ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ในอดีต กับ อาการในปัจจุบัน ซึ่งบางเหตุการณ์อาจจะถูกตัดขาดจากความทรงจำในปัจจุบันผ่านกลไกทางจิต แต่ยังส่งสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก โดยไม่รู้ตัว

นอกจากนี้ ยังอาจมีการฝึกฝนให้ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการกับปัญหาของตัวเองได้อย่างเหมาะสม สำหรับการใช้ยานั้น ยังไม่มียารักษาโรคหลายบุคลิกได้โดยตรง แต่จิตแพทย์อาจมีการพิจารณาใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาต้านเศร้า สำหรับอาการวิตกกังวล อาการซึมเศร้า ทั้งนี้การรักษาโรคหลายบุคลิก มักต้องใช้เวลารักษายาวนาน และตัวผู้ป่วยเองก็ควรต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ทุกคนสามารถมีอารมณ์ พฤติกรรม ที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ได้อยู่แล้ว การที่ใครคนใดคนหนึ่ง มีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง ไม่ได้แปลว่า คน ๆ นั้น เป็นโรคหลายบุคลิก หรือ ป่วยทางจิตเวช และบ่อยครั้ง อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นการตอบสนองที่ "เข้าใจได้" ต่อสถานการณ์ ดังนั้น การพยายามทำความเข้าใจสาเหตุของอารมณ์ พฤติกรรม ที่เกิดขึ้น และเปิดใจรับฟัง จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ มากกว่าการที่จะไปด่วนตีตราเขาว่าป่วยทางจิตเวช

อย่างไรก็ตามหากเริ่มสังเกตว่าตนเอง หรือ คนรอบข้าง มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม ของตนเอง ก็สามารถมาปรึกษาจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยาได้ เพื่อรับการประเมิน และคำแนะนำที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการมาพบจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ไม่ได้แปลว่า ป่วยทางจิตเวช เสมอไป