ดร.นิเวศน์ : หุ้นหมายเลข 1 เวียดนาม

07 ก.ค. 2567 | 18:29 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ค. 2567 | 19:03 น.

ถ้าจะถามว่าหุ้นอะไร "ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" ช่วงเร็ว ๆ นี้ คำตอบก็คือ หุ้น "NVIDIA" เหตุผลก็เพราะอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และ AI มีการพัฒนาขึ้นมาถึงจุดที่จะ "ปฏิวัติโลก" ในไม่ช้า

เพราะ AI จะมีความสามารถสูงมากและจะสูงกว่าคน  ดังนั้น สินค้า บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆในอนาคตก็จะถูกประดิษฐ์หรือทำโดย AI ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะทำโดยคนจำนวนมาก

และคนที่เป็น “ผู้ชนะ” ในเทคโนโลยีนี้ก็คือ Nvidia บริษัทที่บริษัทอื่น ๆ ที่ทำเกี่ยวกับ AI ต้องใช้สินค้าและบริการ ทำให้รายได้และกำไรของ Nvidia "โตระเบิด" ไตรมาสล่าสุดกำไรโตขึ้นถึง 7 เท่า  ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ดีดตัวขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่มี Market Cap. สูงที่สุดในโลกและสูงกว่าหุ้นไมโครซอฟท์และหุ้นแอปเปิลที่ผลัดกันครองตำแหน่งที่ 1 ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  และแม้ว่าหลังจากนั้นหุ้น Nvidia จะลดลงบ้างแต่ก็ต้องถือว่านี่ก็คือหนึ่งในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก  และน่าจะมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปอีกหลาย ๆ  ปีจน "ชนะขาด" เมื่อเทียบกับหุ้นเท็คยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในช่วงปัจจุบันถ้าหากว่าบริษัทยังคงรักษาความเป็น “ผู้นำสูงสุด” ในธุรกิจ AI ได้

ในฐานะของคนที่สนใจลงทุนหุ้นแบบ  “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งต้องเป็นหุ้นที่เก่ง  แข็งแกร่ง  มีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน  อยู่ในธุรกิจที่กำลังโตในระยะยาวหรือเป็นเมกาเทรนด์  ผมจึงสนใจหุ้นที่เป็น  “สุดยอด” ของหุ้นในตลาดที่ผมเข้าไปลงทุน  และก็แน่นอนว่าผมมองหาหุ้นที่เป็นหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อกหมายเลข 1” หรือหุ้นที่ “ดีและยิ่งใหญ่ที่สุด”  และถ้ามีโอกาสซื้อในราคาที่ผมคิดว่าคุ้มค่าหรือราคาถูก  ผมก็จะซื้อและถือให้มากที่สุดที่จะรับได้
 

ตลาดหุ้นเวียดนามที่ผมเพิ่งจะ “เข้าไปไม่นาน” (แม้ว่าจะผ่านมา 6-7 ปีแล้ว)  ผมก็เริ่มมองหาหุ้นที่จะเป็นซุปเปอร์สต็อก  และก็พบว่าน่าจะมีหลายตัวในหลายอุตสาหกรรม  ผมเริ่มลงทุนในแต่ละตัวอย่างมีนัยสำคัญ  ในระหว่างนั้น  ผมก็คอยดูและวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวไหนจะกลายเป็นหุ้นหมายเลข 1 ในแง่ของความแข็งแกร่ง  การเติบโต  และขนาดวัดจาก Market Cap. ของหุ้นในอนาคตอีกซัก 10 ปีข้างหน้า

จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์เริ่มต้นจากการที่ต้องประเมิน  ซึ่งเนื่องจากระยะเวลาที่ยาวไกล  ก็จะต้องอาศัย “จินตนาการ” บ้างว่าประเทศเวียดนามจะเป็นประเทศแบบไหนในสังคมโลก?   ยกตัวอย่างเช่น  ประเทศอย่างฝรั่งเศสนั้น  เป็นแนวแฟชั่นและความหรูหรา  ญี่ปุ่นและไต้หวันเป็นประเทศไฮเท็ค  อเมริกาเป็นซุปเปอร์เพาเวอร์หรืออภิมหาอำนาจของโลกที่เป็นทุกอย่าง และไทย  ที่ผมมองว่าในอนาคตก็คงเป็น “แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของโลก”

สำหรับเวียดนามนั้น  เดิมทีผมไม่ได้ตระหนักหรือคิดว่าในระยะยาวแล้ว  ประเทศนี้จะเป็นอะไร  ผมแค่คิดว่านี่คือประเทศที่จะโตเร็ว  อานิสงส์จากการที่ยากจนมากจากภาวะสงครามในประเทศที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน  

เศรษฐกิจเวียดนามที่โตเร็วระดับ 6-7% นั้น  ก็น่าจะคล้ายประเทศไทยในช่วง 20-30 ปีก่อน  ที่ทำให้คนรวยขึ้นและบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ  และในที่สุดก็จะมีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผู้บริโภคเติบโตขึ้นจนเอาชนะคู่แข่งได้เด็ดขาด  มีรายได้และกำไรสูงมาก  ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปเป็นซุปเปอร์สต็อกหมายเลข 1 ได้ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้หุ้นอย่าง “วีนามิ้ลค์” ที่ขายนมและโยเกิร์ต  เป็นหุ้นที่มีขนาด “ใหญ่ที่สุด” ในขณะนั้น

ต่อมาก็เริ่มเห็นหุ้นค้าปลีกโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดคือ “โมบายเวิลด์” ที่เริ่มขยายไปขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและกลายเป็นรายใหญ่ที่สุดอีกเช่นกัน  นอกจากนั้นก็ยังหันไปทำร้านเครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบทันสมัยที่อาจจะกลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ของคนเวียดนามที่เปลี่ยนไป และทั้งหมดนั้นก็ทำให้หุ้นโมบายเวิลด์ เป็นหุ้นที่อาจจะกลายเป็น  “หุ้นหมายเลข 1”  ได้ในสายตาของผม  และผมก็ยอมซื้อหุ้นที่มีพรีเมียมสูงถึง 35% ในช่วงเวลานั้น

หลังจากเกิดโรคโควิด-19  เมื่อ 4-5 ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าสถานการณ์ต่าง ๆ  เปลี่ยนแปลงไปมาก  รวมถึงประเทศเวียดนามเอง  ที่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในโลกอานิสงส์สำคัญจากสงครามการค้าและ “สงครามเย็น” ครั้งใหม่ ระหว่างสหรัฐกับจีนและรัสเซีย ซึ่งทำให้เวียดนามกลายเป็น “ฐาน” การผลิตที่สำคัญของฝ่ายอเมริกาและโลกเสรี  เศรษฐกิจเวียดนามจึงถูกกระทบน้อยและน่าจะกำลังเริ่มเติบโตขึ้นใหม่ในระดับ 6-7% ต่อไปได้อีกเป็น 10 ปีขึ้นไป

การอ่อนตัวลงของการบริโภคในช่วงโควิด-19 เปิดเผยให้เห็นว่าการค้าและการบริโภคภายในประเทศนั้น  อาจจะไม่ได้เป็น “หมายเลข 1” ของประเทศ  หุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มตกลงมาอย่างแรงแม้ว่าในภายหลังจะดีดตัวกลับได้   แต่หุ้นที่ยังเติบโตแข็งแกร่งกลับกลายเป็นหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศคือ หุ้น FPT ที่รายได้และกำไรไม่ถูกกระทบและก็ยังโตในระดับ 20% อย่างต่อเนื่อง

ผมเองถือหุ้น FPT มานานแล้วในระดับที่มีนัยสำคัญ  แต่เหตุผลที่ถือนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าเป็นบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอและมีราคาไม่แพง  ค่า PE ประมาณ 12-13 เท่าถ้าผมจำไม่ผิด  บริษัทมี Market Cap. ประมาณ 7-80,000 ล้านบาท ธุรกิจหลักของบริษัทก็คือการรับจ้างเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกโดยมีตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด  รองลงมาคืออเมริกา  ธุรกิจรองลงมาคือพวก IT และอินเตอร์เน็ตในประเทศ  และการศึกษา  ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัยซึ่งเน้นการสอนด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก

ผมไม่รู้ว่าการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ที่หุ้นกลุ่ม  Magnificent 7 ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ “ครองโลก” ซึ่งรวมถึงหุ้นไมโครซอฟท์  แอ็ปเปิล  Nvidia เป็นต้น ปรับตัวขึ้นมหาศาลและสามารถต่อต้านผลกระทบแม้แต่เรื่องของโรคโควิดได้นั้น  จะมีส่วนทำให้หุ้น FPT ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตามกันหรือไม่

แต่หุ้น FPT ก่อนวิกฤติโควิด-19 ในปี 2562 มีราคาเพียงประมาณ 20,000 ด่อง หรือเกือบ 30 บาทต่อหุ้น  ล่าสุดวันที่ 5 กรกฎาคม 67 ราคาอยู่ที่ 138,700 หรือประมาณ 200 บาท เท่ากับปรับตัวขึ้นประมาณ 6  เท่าหรือเพิ่มขึ้น 600% ในเวลา 5 ปี  เฉพาะปีนี้  หุ้นปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 60%  พร้อม ๆ  กับข่าวที่บริษัทอย่าง Nvidia มาร่วมมือทำธุรกิจแห่งอนาคตเช่น  “AI Factory” ด้วยกัน  และโครงการอื่น ๆ  รวมถึงการออกแบบ Chip ที่จะทำให้ FPT และประเทศเวียดนามกลายเป็น “ประเทศไฮเท็ค” ในอนาคต

หุ้น FPT ในพอร์ตผมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าจะต้องจ่ายแพงกว่าปกติจากราคาตลาดเพราะหุ้นมี  “Foreign Premium” มันกลายเป็นหุ้นที่ผมมีมากที่สุดในระดับกว่า 40% ของพอร์ตหุ้นเวียดนาม  เพราะผมเริ่มสรุปว่า  นี่อาจจะเป็น “หุ้นหมายเลข 1” ของเวียดนามในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า

ว่าที่จริง  ข้อมูลล่าสุดก็คือ  หุ้นเวียดนามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้คือหุ้นแบ้งค์ VCB ที่มี Market Cap. ประมาณ 700,000 ล้านบาท  อันดับ 2 คือหุ้นแบ้งค์ BID ที่ 390,000 ล้านบาท  และอันดับ 3 ก็คือ หุ้น FPT ที่ 290,000 ล้านบาท

เหตุผลที่ผมสรุปว่า FPT มีโอกาสที่จะเติบโตกลายเป็นหุ้นอันดับหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้านั้น เป็นเพราะประเทศเวียดนามนั้น  มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทางด้านไฮเท็คในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า  ว่าที่จริงในปัจจุบัน FPT ก็แข่งขันได้อยู่แล้วในเรื่องของการเขียนโปรแกรมและก็สามารถเติบโตได้เนื่องจากเวียดนามมีบุคลากรด้านนี้ค่อนข้างมากและยังผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผ่านมหาวิทยาลัยของตนเอง

นอกจากนั้น  เด็กเวียดนามมีการศึกษาที่ดีและเน้นในด้านของการเรียนในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากและมากกว่าประเทศที่อยู่ในระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกันโดยเฉพาะในอาเซียนมาก  เครื่องชี้วัดทุกด้านทางการศึกษารวมถึงนักศึกษาที่ไปเรียนต่อต่างประเทศของเวียดนามนั้นเหนือกว่าทุกประเทศยกเว้นสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว

ดังนั้น  ผมเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เวียดนามน่าจะเป็นประเทศที่มีและใช้เท็คโนโลยีในการทำมาหากินค่อนข้างมากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน  ซึ่งนั่นก็ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปได้ไกลกว่าและจะไม่ติดกับดักคนชั้นกลางที่จะเกิดขึ้นกับหลายประเทศรวมถึงไทย  และถ้าประเทศเวียดนามประสบความสำเร็จในด้านของเทคโนโลยี  แน่นอนว่า FPT ก็จะต้องประสบความสำเร็จเช่นกัน  เพราะ  FPT วันนี้  แทบจะเป็น “เรือธง” ของเวียดนามในด้านการแข่งขันทางเทคโนโลยีกับประเทศอื่น

แน่นอนว่าอีก 10 ปีเวียดนามคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาแข่งขันกับบริษัทระดับโลกได้  แต่การที่จะ  “เกาะกลุ่ม”  อยู่ใน  “Supply Chain” หรือใช้เทคโนโลยีที่ช้ากว่าบ้างก็น่าจะเป็นไปได้สูง  และก็เช่นเดียวกัน  อีก 10 ปี  เวียดนามก็อาจจะหันไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการเขียนโปรแกรมขาย  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  FPT ก็น่าจะเป็นคนทำเสมอ

และทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เป็นการแนะนำให้ซื้อหุ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ราคาหุ้น FPT ปรับตัวขึ้นมามหาศาลคล้าย ๆ  กับหุ้น Magnificent 7 ที่คนเข้าไปซื้อในช่วงนี้อาจจะขาดทุนได้ง่าย