JTS ลาแล้วบิทคอยน์

24 ก.พ. 2566 | 04:30 น.
1.3 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** TRUE และ DTAC เดินเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการควบรวมด้วยการพักการซื้อขายหุ้นตั้งแต่ 20 ก.พ. - 2 มี.ค. 66 และจะกลับมาซื้อขายภายใต้ชื่อ TRUE แต่เพียงบริษัทเดียวในวันที่ 3 มี.ค. 66 โดยมีสัดส่วนการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้น TRUE ต่อ 0.60018 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้น DTAC ต่อ 6.13444 หุ้นในบริษัทใหม่

ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินกันว่า ถึงแม้การควบรวมนี้จะมีข้อดีทั้งด้านการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ แต่ผลประโยชน์ดังกล่าวอาจจะยังไม่สามารถรับรู้ได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้ และยิ่งด้วยผลการดำเนินงานงวดปี 65 ที่พบว่าทาง DTAC มีกำไรเพียง 3.2 พันล้านบาท ขณะที่ทางด้านของ TRUE ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการประกาศผลการดำเนินงานที่ขาดทุนถึง 1.8 หมื่นล้านบาท ในช่วงเวลาที่หุ้นของทั้ง TRUE และ DTAC ถูกพักการซื้อขาย แต่ก็น่าจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะเมื่อหักลบกลบหนี้แล้วพบว่าบริษัทใหม่มีโอกาสสูงมาก ที่จะประสบปัญหาการขาดทุนซ้ำซ้อนในแบบที่ TRUE เจอมาตลอด 

ว่ากันตามตรงแล้วเจ๊เมาธ์ไม่คาดหวังอะไรกับการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC เพราะมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า การแข่งขันที่ผู้ให้บริการมีจำนวนน้อยๆ มันไม่ใช่การแข่งขัน ส่วนทางด้านของนักลงทุน เรื่องของเงินปันผลก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ยากที่จะมีและคงยากที่จะเห็นราคาหุ้นปรับขึ้นสวยๆ ในเวลาอันใกล้ สิ่งที่จะทำได้ก็คงจะมีแค่การเล่นรอบหาเงินเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้น

*** มีแฟนคลับหลังไมค์ถามมาว่า ทั้งที่ KEX ขาดทุน ต่อเนื่องมาแล้วหลายไตรมาส แต่ทำไมยังมีนักวิเคราะห์หลายสำนักจึงมีคอมเม้นท์ว่าให้แค่ HOLD ซึ่งเรื่องนี้เจ๊เมาธ์คิดว่า การที่นักวิเคราะห์มีมุมมองในลักษณะนี้ ก็เป็นเพราะว่ามองไปถึงทุนใหญ่ที่แบ็คอัพอยู่เบื้องหลังของ KEX ซึ่งยังคงมุ่งมั่นในทิศทางการทำธุรกิจแบบทุ่มตลาดเช่นนี้ต่อเนื่อง โดยที่ยังไม่แสดงอาการถอดใจ

ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานจะยังขาดทุน แต่การที่บริษัทสามารถผลักดันรายได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่า บริษัทยังมีศักยภาพเพียงพอที่จะพลิกจากสถานการณ์จากขาดทุนมาเป็นกำไรได้นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังคงมองว่า KEX เป็นบริษัทที่นักลงทุนคนใดก็ตามที่ร่วมเดินทางจำเป็นที่จะต้องอึด ไปจนถึงอึดมากเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้จะมีดีอะไรอยู่ในมือก็ตามแต่จังหวะนี้ยังไม่ถึงเวลา นั่นก็เพราะว่าตอนนี้ KEX ยังไม่รีบ ถ้าใครรีบก็ไปหาหุ้นตัวอื่นรอไปก่อนได้เจ้าค่ะ
 

*** น่าสนใจว่า MENA ซึ่งเป็นบริษัทโลจิสติกส์เล็กๆ ทำไมถึงได้รับโอกาสในการจับมือกับ บริษัท ตะวันแดง โลจีสติกส์ จำกัด (TWD) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CBG ในการทำธุรกิจให้บริการขนส่งกระจายสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการขนส่งสินค้าอื่นๆ ทั่วประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว CBG มีศักยภาพพอที่จะกินรวบงานโดยไม่จำเป็นจะต้องแบ่งให้ใครเข้ามามีส่วนร่วมเลยสักนิด 

ขณะเดียวกัน เจ๊เมาธ์ก็ได้ข่าวว่า MENA กำลังมีการพูดคุยกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์บางราย ซึ่งทำธุรกิจที่ใกล้เคียงกันเพื่อหวังจะต่อยอดธุรกิจใหญ่ในอนาคตอันใกล้ เอาเป็นว่าตอนนี้จับตาดู MENA ไปเรื่อยๆ ก่อนก็ไม่น่าจะเสียหาย ใครจะไปรู้ว่าอนาคตอาจจะมีอะไรที่มากกว่า “มีนา” ก็เป็นไปได้ค่ะ

*** เรื่องของบิทคอยน์ไม่ได้เป็นแค่หนามตำใจนักลงทุน ที่เข้าไปเก็งกำไรในเหรียญคริปโทฯ เพียงแค่กลุ่มเดียว เนื่องจากนักลงทุนที่เข้าไปเก็งกำไรในหุ้นเหมืองขุดบิทคอยน์ ไม่ว่าจะเป็น JTS ZIGA UPA MPV ECF หรือ อีกหลายตัวต่างก็ต้องพากัน “จุก” จนต้องไปหา “น้ำใบบัวบก” กินแก้ช้ำในกันไปแล้วหลายราย ทั้งนี้เป็นเพราะราคาซื้อขายเหรียญคริปโทฯ หลายสกุลที่ต่างพร้อมใจกอดคอกันร่วงมาตลอดทั้งปี 65 จนทำให้มูลค่าเหรียญ และมูลค่าตลาดเหลือเพียงแค่ 30% เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 64

จนล่าสุดทางด้านของ JTS ได้ประกาศว่า จะเลิกทำเหมืองขุดในประเทศไทย เนื่องจากทนต้นทุนค่าไฟฟ้าไม่ไหว ซึ่งบอกเลยว่าเจ๊เมาธ์แอบสงสัยว่าแท้จริงแล้วไปไม่ไหวจนต้องเลิกธุรกิจ ขายเครื่องขุดทิ้งแล้วบอกว่าย้ายฐานไปทำเหมืองที่ประเทศอื่นใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้น่าจะยังไม่หยุดอยู่ที่ JTS เพียงรายเดียวแน่นอน เพราะยังมีบริษัทเหมืองขุดอีกหลายแห่งที่ยังเงียบ เพราะไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างให้ดูแตกต่าง และไม่ให้เสียฟอร์ม เรื่องมันก็มีเท่านั้นเอง
 

ที่มา : หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,865 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ. 2566