Super Stock ในตลาดหุ้นเวียตนาม

10 ม.ค. 2565 | 16:47 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ม.ค. 2565 | 23:48 น.
734

บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor ) ชั้นแนวหน้า

 หนทางการลงทุนที่ทำให้ผม  “เปลี่ยนชีวิต” ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาก็คือ  การลงทุนในหุ้น “Super Stock” ประมาณ 6-7 ตัว ย้อนหลังไปประมาณ 15- 20 ปี และถือไว้ยาวนานโดยที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรกับมัน  บางตัวผมก็ยังถืออยู่จนถึงทุกวันนี้   Super Stock โดยนิยามของผมก็คือหุ้นที่เติบโตเร็วมาก  ภายในเวลา 10 ปี โตขึ้นอย่างน้อยเป็น 10 เท่าตัว หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 26% ขึ้นไป  และนี่ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ ที่อาจจะมีราคากระโดดขึ้นไปได้เพราะเหตุผลบางอย่าง  แต่เป็นหุ้นของธุรกิจหลัก ๆ ขนาดใหญ่ระดับประเทศที่เราสามารถลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากได้อย่างสบายใจและก็สามารถขายหุ้นได้โดยที่ไม่ได้กระทบกับราคาของหุ้นในขณะนั้นเลย

 

หุ้น Super Stock นั้น  มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากหุ้นทั่วไปก็คือ  มันมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเป็น  “เมกาเทรนด์” คือมีการเติบโตที่รวดเร็วและมักจะยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมเป็นหลายเท่า  ดังนั้น  จึงเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่มักจะถูกใช้โดยคนที่อายุน้อยกว่าหรือคนที่กำลังร่ำรวยขึ้นที่จะมีเงินเพิ่มและใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น  นั่นคือเงื่อนไขประการแรก  ข้อที่สองก็คือ  บริษัทหรือหุ้นนั้นจะต้องเป็น  “ผู้ชนะ” มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตไปเรื่อย ๆ  ตามอุตสาหกรรม  ประการที่สามก็คือ  ผู้ชนะนั้นมักจะมี “ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน” เช่นมียี่ห้อสินค้าที่ดีมาก  มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่า  มีเครือข่ายหรือ Network ของผู้ใช้ที่มากกว่าคู่แข่งมาก  ลูกค้ามีต้นทุนที่จะออกไปใช้บริการของคู่แข่งสูง  หรือเป็นกิจการที่เป็น “ผู้ผูกขาด” โดยธรรมชาติหรือที่ไม่ได้ถูกควบคุมทางด้านราคาจากรัฐมากนัก เป็นต้น
 

นอกจากนั้น Super Stock จะต้องไม่ถูก Disrupt หรือถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมากในปัจจุบัน และสุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุดก็คือ ราคาของหุ้นจะต้องไม่แพงเกินไปวัดจากอัตราส่วนมาตรฐานต่าง ๆ เช่นค่า PE เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นหุ้น Super Stock ที่กิจการยังไม่ค่อยมีกำไรเพราะยังต้องขยายกิจการอย่างรวดเร็ว การวัดว่าหุ้นถูกหรือแพงจะต้องดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด ในกรณีแบบนี้ก็จะมีความยากเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลหรือไฮเท็คที่ยังไม่มีตัวอย่างจากตลาดอื่นให้เปรียบเทียบ

 

ตัวอย่างหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้น Super Stock ในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปประมาณ 15-20 ปีนั้นรวมถึงหุ้นดังต่อไปนี้คือ ในกลุ่มการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็น "เมกาเทรนด์" มายาวนานก็คือ หุ้น MINT CENTEL และ AOT ที่สองตัวแรกทำกิจการโรงแรมและร้านอาหารที่เป็น "ผู้ชนะ"สามารถเป็นผู้นำในการบริหารและขยายตัวไปทั่วโลก ส่วนตัวหลังนั้นเป็นกิจการที่ "ผูกขาด" ในการเดินทางโดยเครื่องบิน หุ้นกลุ่มต่อไปซึ่งมีจำนวนมากที่กลายเป็นหุ้น Super Stock ก็คือ "หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่" ที่อยู่ในเมกาเทรนด์ของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่รวยขึ้นอย่างรวดเร็วและอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้นมาก หุ้นของร้านค้าปลีกที่โตขึ้นหรือเคยโตขึ้นเป็น 10 เท่าในเวลา 10 ปีและกลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกรวมถึงหุ้นต่อไปนี้คือ หุ้น BIGC CPALL MAKRO HMPRO ROBINS และ CPN นี่คือข้อมูลย้อนหลังไปประมาณ 6-7 ปี ถึงวันนี้ก็อาจจะมีหุ้นค้าปลีกในสินค้าอื่นที่อาจจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเพิ่มขึ้นแล้วก็ได้ 

 


 

เพราะการค้าปลีกสมัยใหม่นั้นเริ่มเป็นเมกาเทรนด์มาตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540และต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ที่สินค้าบางกลุ่มอาจจะอิ่มตัวไปแล้ว บางกลุ่มก็ยังไปต่อได้แม้ว่าจะไม่ได้โตมากเหมือนเดิม

 

หุ้นโรงพยาบาลนั้นเป็นเมกาเทรนด์เนื่องจากคนไทยแก่ตัวลงและรวยขึ้น "ผู้ชนะ" ที่ทำให้หุ้นกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้นรวมถึงหุ้น BGH และ BH ที่เน้นลูกค้าจากต่างประเทศมาก ดังนั้น จึงสามารถเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โรงพยาบาลนั้นมักจะสามารถรักษาลูกค้าให้อยู่ยาวนานเพราะมี Exit Cost สูง ลูกค้ามักจะไม่เปลี่ยนโรงพยาบาลเพราะติดอยู่กับหมอ คุณภาพและทำเลของโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลท้องถิ่นก็มักจะมีข้อจำกัดที่จะขยายตัวจนกลายเป็นซุปเปอร์สต็อก

 

สุดท้ายก็คือกลุ่มโทรคมนาคมที่เริ่มเป็นเมกาเทรนด์หลังวิกฤติปี 2540 เช่นเดียวกัน ผู้ชนะที่มีราคาหุ้นขึ้นไปสูงและนานอย่างน้อย 10 ปี ก็คือหุ้น ADVANC และ JAS ที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือและบริการอินเตอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม เมกาเทรนด์ในกลุ่มนี้เกิดขึ้นแรงและเร็วแต่ก็จบลงในเวลาไม่นานเท่ากับอีกหลายกลุ่ม เหตุผลก็คงเป็นเพราะ "ทุกคนในประเทศก็ใช้มือถือและอินเตอร์เน็ตกันหมดแล้ว" ดังนั้น ในระยะหลัง ๆ อาจจะเป็นเกือบ 10 ปีแล้วที่หุ้นก็ไม่ค่อยไปไหนเพราะ "ไม่โตแล้ว"

           

นอกจากหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่กล่าวแล้ว ในระยะประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าเราก็น่าจะมีหุ้นอีกหลายตัวที่เติบโตเร็วขนาดเป็นซุปเปอร์สต็อกซึ่งรวมถึงกิจการในกลุ่มพลังงาน การเงินส่วนบุคคลและกลุ่มสินค้าที่อาจจะเกี่ยวข้องกับ "ไฮเท็ค" ทั้งที่เป็นดิจิทัลหรืออาหารที่มีขนาดเล็กแต่มีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในสังคมไทยที่กำลังแก่ตัวและเติบโตช้าลง อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริงตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผมกล่าวไว้ เหตุผลก็คือ หุ้นที่โตเร็วเหล่านั้นมีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมากและมีค่า PE โดยทั่วไปสูงเป็น 40-50 เท่าขึ้นไปในขณะที่ความยั่งยืนและโอกาสที่จะโตต่อไปในอนาคตอาจจะไม่แน่นอนเนื่องจากเป็นกิจการที่ไม่ได้มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนมากนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นมักจะมีการ "เก็งกำไร" สูงมาก

           

หุ้นที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ผมคิดว่ามีอยู่ไม่น้อย และนี่เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนอาจจะมีโอกาสได้ซื้อในช่วงเริ่มต้น เหตุผลก็คือ ผมคิดว่าเศรษฐกิจและสังคมของเวียตนามนั้นกำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็วและ "ถึงจุด" ที่สินค้าและบริการ "สมัยใหม่" เริ่มเป็นที่ต้องการของคนเวียตนามที่กำลังอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นช่วงเวลาที่คล้าย ๆ กับประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนที่สิ่งใหม่ ๆ ที่ "ทันสมัย" เริ่มต้นขึ้น ธุรกิจเริ่มปรับตัวมีการบริหารแบบเป็นมืออาชีพ การขยายตัวโดยเฉพาะในธุรกิจบริการเป็นระบบเครือข่ายที่กระจายไปทั่วประเทศ ผู้บริโภคเริ่มมีเงินและบริโภคสิ่งต่าง ๆ ที่ดีขึ้น ยุคของ "Modern Trade" และ "Modern Business" กำลังมาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับยุคของการบริโภค "Consumerism" และยุคที่คนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหรือ "Urbanizations" ทั้งหมดนั้นได้รับการสนับสนุนจากการปล่อยสินเชื่อจากระบบธนาคารและบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่บุคคลที่กำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากเมื่อประมาณไม่เกิน 10 ปีก่อนที่การซื้อรถหรือบ้านยังต้องขนเงินสดเป็นกระเป๋าไปซื้อ

 

หุ้นที่อาจจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกและได้แสดงศักยภาพออกมาบ้างแล้วน่าจะรวมถึงหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่เช่น MWG ที่เป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้าและช่วงนี้ก็เริ่มขยายไปสู่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต "สะดวกซื้อ" อย่างรวดเร็ว หุ้น VRE ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของการเป็นช็อบปิ้งมอลของเวียตนามที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากคนเวียตนามนั้นเริ่ม "เดินห้างหรู" แบบเดียวกับที่ไทยเริ่มเมื่อประมาณ 25 ปีก่อน หุ้น ACV ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานของเวียตนามที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะคนเวียตนามสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้อย่างกว้างขวางเพราะรายได้สูงพอแล้ว หุ้น FPT ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งในด้านของการเป็นบริษัทรับงาน Outsource งานเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทไฮเท็คทั่วโลก เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งนี่ก็น่าจะแตกต่างจากไทยที่หุ้นแนวไฮเท็คไม่มีความโดดเด่นพอที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกได้

           

หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า น้ำประปาเพื่อการบริโภค และทางด่วนเก็บเงินกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากเศรษฐกิจของเวียตนามโตเร็วมากในขณะที่รัฐบาลไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำเองทำให้สาธารณูปโภคทั้งหลายเติบโตเร็วมากเป็น "เมกาเทรนด์" ที่จะเติบโตไปอีกนาน อย่างไรก็ตาม บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มีจำนวนมากและส่วนใหญ่ก็มี Market Cap. ค่อนข้างเล็ก ดังนั้น โอกาสที่จะเจอ "ผู้ชนะ" และกลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็น่าจะมีไม่น้อยเช่นเดียวกับหุ้นการเงินและหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทก็มีมูลค่าหุ้นที่อาจสูงเกินไปแล้ว ดังนั้น การที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดที่กล่าวถึงและหุ้นที่มีศักยภาพทั้งหมดก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วย