*** ดัชนีหุ้นไทยกลับมายืนอยู่ในแดนบวกใกล้แนวต้านทางจิตวิทยาที่ 1200 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนกลุ่มสถาบัน ที่เริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่ม Big Cap รวมไปถึงการที่นักวิเคราะห์หลายสำนัก เริ่มกลับมาให้มุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้นก็มีส่วนช่วย ซึ่งหากจะบอกว่า หุ้นไทยหลายตัวมีแนวโน้มว่า อาจกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยน...เจ๊เมาธ์ก็มองว่าไม่ได้เกินความเป็นจริงเกินไปนัก
น่าสนใจ หุ้นใหญ่อย่าง GULF และ INTUCH ซึ่งการควบรวมกิจการกำลังจะเสร็จสิ้นหลังถูกระงับการซื้อขายชั่วคราวในวันที่ 21 มี.ค. ถึง 2 เม.ย. 68 รวมเป็นระยะเวลา 9 วันทำการ โดยหลังควบบริษัทแล้วเสร็จ GULF และ INTUCH จะเกิดเป็น NewCo แทนที่หุ้นของ GULF และ INTUCH ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมใน GULF ต่อ 1.02974 หุ้น และ 1 หุ้นเดิมใน INTUCH ต่อ 1.69335 หุ้น ใน NewCo หลังถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ บล.หยวนต้า ให้มุมมองว่า บริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการของทั้ง GULF และ INTUCH จะดำเนินธุรกิจหลากหลายทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้า และ ICT รวมถึงธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านบริษัทในเครือหลายกิจการ พร้อมประเมินมูลค่าเหมาะสมของ NewCo ณ สิ้นปี 2568 ได้ที่ 47.80 บาท
ส่วนอีกกลุ่มที่ที่เจ๊เมาธ์มองว่า น่าสนใจ คือ กลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ประเทศจีน ได้แก่
• กลุ่มปิโตรเคมีและแพ็คเกจจิ้ง เช่น PTTGC IVL IRPC SCC SCGP เนื่องจากอำนาจในการซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้น เสริมให้มีการอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงขึ้น ทั้งนี้น่าสนใจว่า หุ้นกลุ่มนี้เพิ่งจะผ่านจุดที่ราคาหุ้นอยู่ในจุดต่ำสุดมาแล้วอีกด้วย
• หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTTEP และ BANPU เพราะกำลังซื้อที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มนี้ดูเหมือน PTTEP จะได้ประโยชน์มากที่สุด จากการที่จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก
• หุ้นกลุ่มโลจิสติกส์ RCL PSL WICE LEO SJWD เนื่องจากกิจกรรมการขนส่งที่ปรับตัวดีขึ้น โดยที่ทางฝั่งของ RCL และ PSL มีแนวโน้มว่า จะได้ประโยชน์จากอัตราค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
• หุ้นยางพารา STA, TEGH, NER เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกยางสำคัญของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 40-50% ของส่งออกยางแท่งรวม ซึ่งดูเหมือน STA จะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากจีนสูงถึง 50%
• หุ้นส่งออกอาหารไปจีน TKN COCOCO PLUS เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกใหญ่ของไทย โดย COCOCO มีสัดส่วนรายได้จากจีนประมาณ 28% ของรายได้รวม ส่วน PLUS มีสัดส่วนมากกว่า 20% ขณะที่ TKN มีสัดส่วนรายได้จากจีน 22-24% ของรายได้รวม
อีกกลุ่มคือ หุ้นธนาคารใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น KBANK SCB BBL KTB และ TTB ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกแรงกดดันหลังจากที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนล่าสุดการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หลัก ไว้ที่ 4.25%-4.5% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่คงอยู่ตั้งแต่เดือนธันวาคม
ทั้งนี้ แม้การคงดอกเบี้ยของเฟด จะไม่ส่งผลกับหุ้นธนาคารไทยโดยตรง แต่การส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปีนี้ ก็จะทำให้กระแสดอกเบี้ยขาลงที่กดดันราคาหุ้นธนาคารไทยเอาไว้น้อยลงเช่นกัน
ล่าสุด การที่ ธปท. ปลดล็อก LTV สินเชื่อบ้านทุกระดับราคา เป็นเวลา 1 ปี เริ่ม 1 พ.ค. ก็จะส่งผลบวกต่อหุ้นอสังหาฯ ในระยะสั้น โดย LTV มีสาระสำคัญคือ
1.กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี
(1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป
(2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป
2.การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ มองว่า เป็นบวกกับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ AP SIRI และ SPALI โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สูงอย่าง SCB รวมถึงหุ้น AMC ที่มีการขาย NPA สูงอย่าง BAM
อย่างไรก็ดี...ขึ้นชื่อว่า การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดหุ้นไทย แม้จะมีปัจจัยที่เป็นบวกเข้ามาบ้าง แต่โอกาสที่จะถูกเล่นรอบ หรือ ถูกเทขายทำกำไร ก็มีอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้น การเฝ้าหน้าจออย่างใกล้ชิดจึงยังคงถือว่ามีความจำเป็น...ประมาทไม่ได้ค่ะ