การรักษาโรคมะเร็งด้วยมิติของ Checkpoint Inhibitors

16 มี.ค. 2568 | 18:11 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มี.ค. 2568 | 18:26 น.

การรักษาโรคมะเร็งด้วยมิติของ Checkpoint Inhibitors คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • วิธีการใช้ Checkpoint Inhibitors หรือ “ตัวยับยั้งจุดตรวจ” เป็นยารักษามะเร็ง ที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • จุดตรวจหรือ Checkpoint ที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของมะเร็ง ได้แก่ PD-1 (Programmed Cell Death Protein 1) และ CTLA-4 (Cytotoxic T-Lymphocyte Antigen 4) 
  • Checkpoint inhibitors มีศักยภาพในการรักษามะเร็งที่ทนทานต่อการรักษา มีโอกาสหายขาดสูง และอัตราการรอดชีวิตที่สูงมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ผลในผู้ป่วยทุกราย การตอบสนองต่อยานี้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

สองวันก่อนมีน้องท่านหนึ่งโทรมาหาผม แจ้งว่าคุณพ่อของน้องป่วยเป็นมะเร็ง ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ลูกสาวสองท่านต้องไปนอนเฝ้าคุณพ่อที่สถาบันมะเร็งดังกล่าว ทำให้ผมคิดว่า ในปัจจุบันนี้คนใกล้ชิดหลายท่าน ต่างมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งกันเยอะมาก อีกทั้งที่เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งก็เยอะมากเช่นกัน ผมจึงได้ไปสืบค้นหาอ่านในบทวิจัยต่างๆ ดู จึงพบว่าในขณะที่การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน ก็สามารถรักษาได้หลากหลายวิธีมาก แม้จะตามจำนวนของผู้ที่ป่วยได้ไม่ค่อยจะทัน แต่ก็ยังพอมีความหวังว่า ในอนาคตข้างหน้าอีกไม่นาน คงจะสามารถหาวิธีกำจัดเจ้ามะเร็งร้ายนี้ได้นะครับ

อย่างไรก็ตามก็มีวิธีการรักษาในรูปแบบใหม่ๆ ที่นักวิจัยฯต่างก็คิดค้นนวัตกรรมการรักษาเพื่อมาช่วยชีวิตมนุษย์กันอย่างไม่หยุด หนึ่งในรูปแบบที่ในความคิดผม ที่น่าจะทำการรักษาได้ดีและมีประสิทธิ์ผลน่าพอใจ ก็คือการตรวจรักษาด้วย Checkpoint Inhibitors ที่ผมไปหาอ่านเจอ ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจมาก และผมกำลังจะนำมาเล่าให้ฟังนี่แหละครับ  

เป็นที่ทราบกันดีว่า โรคมะเร็งยังคงเป็นอันดับต้นๆ ของสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของมนุษย์เรา แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้ามากขึ้น แต่การรักษามะเร็งยังคงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ซึ่งการรักษามะเร็งในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และการใช้เคมีบำบัด แต่มีวิธีการใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์ นั่นคือ วิธีการใช้ Checkpoint Inhibitors หรือ “ตัวยับยั้งจุดตรวจ” ซึ่งเป็นยารักษามะเร็ง ที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผมเคยนำมาเขียนในบทความนี้มาก่อนว่า ในร่างกายของเราทุกคน จะมีการสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Immune System) โดยอัตมัติอยู่แล้ว แต่ถ้าการสร้างระบบภูมิคุ้มกันบกพล่อง อีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ ก็คือวิธีการใช้ Checkpoint Inhibitors หรือ “ตัวยับยั้งจุดตรวจ” นี่เองครับ

จุดเริ่มต้นในการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน Checkpoint Inhibitors เพื่อมาทดแทนในกรณีที่ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องร่างกายของเราจากสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรคและเซลล์ที่ผิดปกติ เช่น เซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งบางชนิด สามารถหลบหลีกการตรวจจับจากระบบภูมิคุ้มกันได้ โดยการมีโปรตีนที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถโจมตีเซลล์มะเร็งได้ นี่คือจุดที่ Checkpoint inhibitors เข้ามามีบทบาทในการรักษา เพราะ Checkpoint inhibitors เป็นยาที่สามารถยับยั้งการทำงานของจุดตรวจ (Checkpoint) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

 

จุดตรวจหรือ Checkpoint ที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของมะเร็ง ได้แก่ PD-1 (Programmed Cell Death Protein 1) และ CTLA-4 (Cytotoxic T-Lymphocyte Antigen 4) ซึ่งโปรตีนเหล่านี้สามารถยับยั้งการตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกันต่อเซลล์มะเร็งได้ เมื่อการทำงานของโปรตีนเหล่านี้ถูกยับยั้ง ระบบภูมิคุ้มกันจะสามารถเข้าโจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการทำงานของ Checkpoint Inhibitors ซึ่งทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของจุดตรวจบนเซลล์ภูมิคุ้มกันหรือเซลล์มะเร็ง ที่ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันไม่สามารถโจมตีเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งโดยปกติแล้วเซลล์มะเร็ง จะพยายามป้องกันตัวเองจากการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันโดยการใช้โปรตีนเหล่านี้ ดังนั้น เมื่อยามีการยับยั้งโปรตีนเหล่านี้แล้ว เซลล์ภูมิคุ้มกันจะสามารถตรวจจับและโจมตีเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น ตัวอย่างของยาที่เป็น Checkpoint inhibitors ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Nivolumab (ยับยั้ง PD-1) Pembrolizumab (ยับยั้ง PD-1) และ Ipilimumab (ยับยั้ง CTLA-4) ซึ่งตัวยาเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์จากผลของการทำวิจัยมาแล้วว่า เป็นประโยชน์ในผู้ป่วยมะเร็งหลายประเภท และบางกรณีอาจช่วยให้การตอบสนองต่อการรักษาเป็นระยะยาว

ผลของการวิจัยฯพบว่า ความสำคัญในมิติของการรักษามะเร็งด้วยระบบ Checkpoint inhibitors หรือ “ตัวยับยั้งจุดตรวจ” ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการรักษามะเร็งอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการรักษามะเร็งด้วยยานี้ มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากวิธีการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น การใช้เคมีบำบัดและการฉายรังสี การรักษาด้วย Checkpoint inhibitors จะเน้นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในการโจมตีเซลล์มะเร็ง โดยไม่ต้องพึ่งพาการทำลายเซลล์ปกติ อย่างที่เกิดขึ้นในเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี

นอกจากนี้ Checkpoint inhibitors ยังมีศักยภาพในการรักษามะเร็งที่ทนทานต่อการรักษา มีโอกาสหายขาดสูง และอัตราการรอดชีวิตที่สูงมากขึ้น จึงทำให้วิธีการักษาด้วยวิธี Checkpoint inhibitors มีความหวังใหม่ในการรักษามะเร็ง ที่เคยรักษายากให้สามารถตอบสนองได้ดีขึ้นนั่นเองครับ

การใช้ Checkpoint Inhibitors ในมะเร็งชนิดต่าง ๆ ซึ่งได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ยุคใหม่  และถูกนำไปใช้ในการรักษามะเร็งหลายชนิดในต่างประเทศ  โดยมีหลักฐานทางการวิจัยฯ ที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพในการรักษา ตัวอย่างของมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วย Checkpoint inhibitors นั้นมีอยู่หลายชนิดมะเร็งด้วยกัน เช่น โรคมะเร็งปอด (Non-Small Cell Lung Cancer - NSCLC) ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในโลก การรักษาด้วย Checkpoint inhibitors เช่น ตัวยาที่มีส่วนประกอบของ Nivolumab และ Pembrolizumab ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด

มะเร็งอีกชนิดหนึ่งคือ โรคมะเร็งผิวหนัง (Melanoma) จะใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ Ipilimumab และ Nivolumab เป็นยา Checkpoint inhibitors ที่ได้รับการอนุมัติสำหรับการรักษามะเร็งผิวหนังที่เป็นมะเร็งเมลาโนมา โดยได้ผลลัพธ์ที่ดีในการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยที่มีโรคระยะลุกลาม ยังมีมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง คือ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer) ซึ่งจะมีส่วนประกอบของ Pembrolizumab และ Nivolumab เป็นตัวอย่างของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมซึ่งทำให้มะเร็งไม่สามารถซ่อมแซมความผิดปกติใน DNA ได้ หรือมะเร็งอีกตัวหนึ่งคือ โรคมะเร็งไต (Renal Cell Carcinoma) ซึ่งก็มีส่วนประกอบของ Nivolumab และ Pembrolizumab  ซึ่งได้รับการนำมาใช้ในการรักษามะเร็งไต โดยมีผลดีในการเพิ่มการรอดชีวิตจากมะเร็งไต ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดได้อีกด้วย

แน่นอนว่าเมื่อมีผลดีก็ต้องมีผลเสีย หรือผลข้างเคียงและข้อจำกัดของการใช้ Checkpoint Inhibitors ซึ่งแม้ว่า Checkpoint inhibitors จะมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคมะเร็ง แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง เช่น อาจจะมีอาการภูมิแพ้ ที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อปกติ หรือการเกิดภาวะอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด, ลำไส้, ตับ และผิวหนัง นอกจากนี้ยังอาจจะการเกิดอาการที่คล้ายกับโรคภูมิแพ้ (autoimmune reactions) ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจมีความรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ Checkpoint inhibitors ยังไม่ได้ผลในผู้ป่วยทุกราย การตอบสนองต่อยานี้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของมะเร็ง สภาพภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และสถานะของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของจุดตรวจ ซึ่งวิธีการรักษาดังกล่าวนี้ มักจะมีเพียงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รักษาโรคเฉพาะทางที่นำมาใช้ในการรักษาครับ 

ดังที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าการพัฒนา Checkpoint inhibitors หรือ“ตัวยับยั้งจุดตรวจ” ถือเป็นความก้าวหน้าในวงการแพทย์ ที่ช่วยเปิดมิติใหม่ในการรักษามะเร็ง โดยการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้นในการโจมตีเซลล์มะเร็ง ถึงแม้ว่าจะมีข้อจำกัดและผลข้างเคียงบางประการ แต่ Checkpoint inhibitors ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการรักษามะเร็งในปัจจุบันไปอย่างมาก และยังคงเป็นแนวทางการรักษาที่มีความหวังในอนาคตสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ผมเชื่อว่าในอีกไม่นาน เราอาจจะไม่ต้องเกรงกลัวโรคมะเร็งอีกต่อไปก็ได้ครับ