KEY
POINTS
สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือ สพพ. NEDA นำคณะผู้บริหาร และสื่อมวลชน ร่วมสำรวจการพัฒนาเส้นทางถนนหมายเลข 11 (R11) เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ รวมระยะทางประมาณ 629 กม.
พร้อมจัดงานเสวนา“ความสัมพันธ์และความสำเร็จของโครงการความร่วมมือไทยกับสปป.ลาว” โดยมี นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “บทบาทของ สพพ. ในโครงการพัฒนาระหว่างไทย-สปป.ลาว” วันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระหว่างไทยกับสปป.ลาว ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาร่วมกัน
ทั้งนี้ที่ผ่านมา NEDA ได้มีการสนับสนุนความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกทางการเงิน รวมไปถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิค ล่าสุดได้พัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) โดยเป็นส่วน สำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ (CVEC) เชื่อมโยงและการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว
โดยมีเส้นทางเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน - ลำปาง - แพร่ - อุตรดิตถ์ - ด่านภูดู่ - เมืองสังข์ทอง - เวียงจันทน์ รวมระยะทาง ในประเทศไทยประมาณ 391 กม. ผ่านเข้าสู่ สปป.ลาว ประมาณ 238 กม. รวมระยะทางตามแนวการเชื่อมโยงระเบียง เศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ ประมาณ 629 กม. ซึ่งขณะนี้การพัฒนาเส้นทาง R11 ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นในช่วงสุดท้ายแล้ว เพื่อให้เป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อไป
"เส้นทางนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการเชื่อมจุดไข่แดงของเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ ทั้งเชียงใหม่ และเวียงจันทร์ เพราะในอดีตการเดินทางระหว่างเส้นทางนี้ใช้เวลามหาศาล เพราะโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง ขนส่ง ค้าขาย ท่องเที่ยวระหว่างกันทำได้ยาก ดังนั้นการพัฒนาเส้นทาง R11 ขึ้นมา จึงร่นระยะเวลาได้ 3-4 ชม. ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตได้อีกมาก" นายเผ่าภูมิ ระบุ
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า การพัฒนาเส้นทาง R11 นั้น ไม่ใช่แค่การพัฒนาเส้นทางขนส่งอย่างเดียว แต่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การโอนถ่ายองค์ความรู้ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางอีกด้วย โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อรองรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการ สพพ. หรือ NEDA กล่าวว่า การพัฒนาถนนหมายเลข R11 ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม - บ้านวัง - บ้านน้ำสัง ได้ถูกออกแบบให้เป็นถนน 2 ช่องจราจรตามมาตรฐานทางหลวงอาเซียน โดยเป็นส่วนสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์
ทั้งนี้ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้
อย่างไรก็ตามการดำเนินการทั้ง 3 โครงการมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองหลักทางเศรษฐกิจของไทยและสปป.ลาว รวมถึง เชียงใหม่และเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือของไทยและสปป.ลาว
นายพีรเมศร์ กล่าวว่า ถนนสายนี้เชื่อมจาก ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร เพื่อรองรับการค้าระหว่าง ประเทศ ไปยัง แขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวในลุ่มแม่น้ำโขง ที่ช่วย อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมืองปากลาย
โดยเชื่อมต่อจากด่านภูดู่ถึงเมืองปากลายระยะทาง 32 กม. และต่อไปยังเมืองสังข์ทอง แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ผ่านโครงการถนน R11 ช่วงบ้านตาดทอง -น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง รวมระยะทาง 82 กม.
เส้นทางนี้เป็น Missing Link สุดท้ายที่เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมของระเบียงเศรษฐกิจ CVEC โดยช่วยลดระยะทางกว่า 234 กิโลเมตร จากเส้นทางเดิม (เชียงใหม่-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-ขอนแก่น-หนองคาย-นครหลวงเวียงจัน ที่มีระยะทางประมาณ 863 กิโลเมตร ทำให้ประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่า 3 ชั่วโมง และมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567
สำหรับเส้นทางช่วงนี้ลัดเลาะไปตามแม่น้ำโขง มีทัศนียภาพงดงาม และช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ ชุมชนท้องถิ่นในเมืองสานะคาม บ้านวัง และบ้านน้ำสัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของพื้นที่ โดยรวมแล้วการเดินทางจากเชียงใหม่สู่ด่านภูดู่ และเข้าสู่เส้นทาง R11 ผ่านเมืองสังข์ทองไปจนถึงครกข้าวดอใช้เวลารวมประมาณ 10 - 11 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและสภาพอากาศ
อย่างไรก็ดีเส้นทาง R11 นี้ไม่เพียงแต่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางระหว่างภาคเหนือของไทยกับนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ยังเป็นเส้นทางที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและ สปป.ลาว ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น