หุ้นตัวใดดี...ถ้าไม่มีสงคราม!!!

11 ต.ค. 2567 | 06:30 น.

หุ้นตัวใดดี...ถ้าไม่มีสงคราม!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ วันที่ 11 ตุลาคม 2567

*** สถานการณ์สงครามที่พร้อมจะปะทุอยู่ในทุกวินาที ก็ต้องหยุดลงทันทีที่เกิดแผ่นดินไหวระดับ 4.6 ในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม โดยมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองอราดัน จังหวัดเซมนัน ที่ประเทศอิหร่าน ลึกจากพื้นดินลงไปเพียง 10 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนสามารถสัมผัสได้ไกลถึงกรุงเตหะราน ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางราว 110 กิโลเมตร เป็นแผ่นดินไหวที่มาพร้อมข่าวลือที่ระบุว่า อิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ใต้พื้นดินเป็นผลสำเร็จ ซึ่งหากอิหร่านประสบความสำเร็จในกาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ สถานการณ์นี้จะทำให้ “ศักย์สงคราม” หรือดุลย์อำนาจที่ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาอิสราเอลได้เปรียบมาโดยตลอดในภูมิภาคตะวันออกกลางได้เกิดความเปลี่ยนแปลง

หากเป็นเมื่อ 1-2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นกูรู หรือนักวิเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดต่าง ก็มองว่าอาจเกิดสงครามใหญ่ขึ้นหลังจากที่อิหร่านยิงขีปนาวุธมากกว่า 180 ลูก โจมตีไปถึงแผนดินของอิสราเอล ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ทางอิสราเอลประกาศว่า จะต้องชดใช้อย่างสาสมโดยมีสหรัฐอเมริกา ก็ยืนยันว่าจะหนุนหลังอิสราเอลอย่างเต็มที่ ขณะที่ทางอิหร่านระบุว่า หากมีการโจมตีกลับ...อิหร่านก็ยืนยันว่าจะโจมตีหนักกว่าเดิม!!!

ประเด็นนี้ทำให้อิสราเอลต้องคิดให้มากขึ้นกว่าเดิม ว่าการตอบโต้หลังจากถูกขีปนาวุธจะคุ้มค่า กับสิ่งที่จะต้องเสียไปอีกในอนาคตหรือไม่ ดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นไม่มีการเอาคืนหรือไม่เกิดสงครามใหญ่ขึ้นแล้วก็เป็นได้!!! 

หากสงครามใหญ่ที่ไม่เกิดขึ้น...มุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางใด???

กลุ่มแรก ที่เจ๊เมาธ์มองว่า จะได้เห็นการถดถอยของราคา คือ หุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น PTTEP รวมไปถึงหุ้นในกลุ่มของโรงกลั่นน้ำมัน เช่น TOP IRPC BCP และ SPRC เนื่องจากถือว่าน้ำมันเป็นหนึ่งใน “ยุทธปัจจัย” ที่ราคามักจะวิ่งแรง หากสงครามใหญ่ จนมีการเก็งกำไรจนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ซึ่งการถดถอยที่ว่าอาจเป็นเพียงการกลับลงไปสู่ระดับราคาที่เหมาะสม (Fair Price) แต่ก็คงจะไม่ลงแรงมากนัก 

กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือ ทองคำ ก็อาจเริ่มถูกเทขายออกมา เพื่อย้ายทุนออกไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เนื่องจากเมื่อนักลงทุนคลายความกังวล ก็จะถอยหลังออกจากเชฟโซนเข้าไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่มากขึ้นซึ่งก็เป็นไปตามหลักการ “High Risk, High Return” นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า หุ้นกลุ่มที่เคยถูกมองว่าจะปรับตัวขึ้นในภาวะสงครามจะไม่ได้ไปต่อ

ดูอย่างหุ้นธนาคารอย่าง KBANK SCB BBL KTB และ TTB เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ธนาคารก็ยังเป็นแหล่งรวมของทุนและผู้ใช้ทุนที่ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็ตามแหล่งทุนยังคงสำคัญ ดังนั้นไม่ว่าจะมีสงครามหรือไม่...เจ๊เมาธ์มองว่าหุ้นของธนาคารยังคงเชื่อใจได้เสมอ 

ขณะเดียวกันกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสถานพยาบาล เช่น BDMS BH PR9 รวมไปถึงโรงพยาบาลอื่นๆ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มอาหาร ยา และ ค้าปลีกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น CPF CPALL CPAXT BJC TU TFG หรืออื่นๆ อีกหลายตัวที่ไม่ได้พูดถึง ก็จะเป็นหุ้นที่เปลี่ยนสถานะจากหุ้นหลุมหลบภัยมาเป็นหุ้นสะสมได้เช่นกัน

ส่วนหุ้นที่น่าสนใจอีกกลุ่มคือ หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น ADVANC GULF INTUCH TRUE DELTA KCE HANA CCET หรือ กลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้อง ก็จะเริ่มได้เห็นการขยับราคาและการกลับมาเล่นเก็งกำไรได้อีกครั้งเช่นเดียวกัน

ท้ายที่สุด กลุ่มหุ้นกลุ่มที่มีสตอรี่เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นน้องใหม่ไอพีโอ หุ้นปั่น หุ้นมีจ้าว หรือ หุ้นวัฏจักร ก็จะถูกนำกับมาพูดถึงกันอีกครั้งอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามเล็ก หรือสงครามใหญ่ เจ๊เมาธ์ก็ยังเชื่อว่า การเล่นเก็งกำไรก็ยังจะเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่จะใช้สตอรี่ หรือ เรื่องราวใดมาใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเพื่อให้ปลอดภัยและได้กำไรมากที่สุด เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เองเจ้าค่ะ