เมื่อวันที่ 21 มกราคม ได้รับข่าวจากเพื่อนที่ทำธุรกิจอยู่ที่มัณฑะเลย์ เขามีทำการค้าอยู่ที่ชายแดนเมียนมา-อินเดีย ที่ด่านตามู-โมเรห์ ซึ่งก็เป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐบาลทั้งสองฝั่งใช้เป็นเส้นทางการค้าชายแดนอยู่ โดยประชาชนทั้งสองประเทศ จะไปมาหาสู่กันอย่างเสรี แต่เมื่อวานนี้ได้มีข่าวออกมาว่า ทางรัฐบาลอินเดียจะทำการเข้มงวดในการข้ามแดนของทั้งสองฝากฝั่งเสียแล้วครับ
ด่านชายแดนดังกล่าวนี้ ผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นไปกับเพื่อนชาวเมียนมา ที่เขาซื้อรองเท้าแตะฟองน้ำตราช้างดาวจากผม ส่งไปขายยังปลายทางที่เมืองอิมฟาล (Imphal) ประเทศอินเดีย ในยุคที่ผมไปดูตลาด เป็นช่วงปลายๆ ก่อนจะเข้าสู่ปีค.ศ.2000 ซึ่งในยุคนั้นถนนหนทางที่ค่อยข้างจะทุรกันดารมาก ผมยังจำติดตาอยู่เลยครับ จำได้ว่าพอไปถึงที่ตามู การหาโรงแรมนอนก็เป็นไปอย่างยากลำบากมาก กว่าจะได้ทานข้าวและเข้านอนก็ดึกมากเลยครับ
ถ้าผมจำไม่ผิดอีกเรื่องหนึ่ง คือการผ่านแดนเข้าไปเดินในเมืองโมเรห์ รัฐมะณีปุระ ประเทศอินเดีย ก็ต้องขอทางผ่านจากชาวบ้าน ที่เขามีบ้านด้านหน้าหันไปทางประเทศอินเดีย ส่วนหลังบ้านติดอยู่ในประเทศเมียนมา เราเลยต้องเดินทะลุบ้านของชาวบ้านข้ามไป โดยไม่ได้ทำบัตรผ่านแดน ซึ่งในตอนนั้นผมก็เพียงแค่สนุกสนามเอามันเข้าว่า ไม่ได้คำนึงถึงผิดกฎหมายหรือไม่ ตอนนี้มานึกอีกที เรานี่ก็บ้าๆ ดีจริงๆนะ ถ้าเกิดถูกจับที่อินเดียคงไม่มีวันนี้แน่ๆ เลยครับ
ในครั้งนั้นเพื่อนเขายังชวนผมว่า เราจะเข้าไปดูที่เมืองอิมฟาล (Imphal) กันมั้ย? ซึ่งเมืองอิมฟาลเป็นเมืองหลวงของรัฐมะณีปุระ อยู่ห่างจากชายแดนไปประมาณร้อยกว่ากิโลเมตร สินค้าทั้งนำเข้า-ส่งออกจะต้องผ่านที่เมืองนี้เสมอ เนื่องจากมาได้แค่นี้ก็นั่งรถไกลจนจะเป็นไส้เลื่อนอยู่แล้ว เลยปฏิเสธเพื่อนไปว่า โอกาสหน้าค่อยเข้ามาจากทางอินเดียจะดีกว่าครับ เพราะการเดินทางจากอีนเดียไปยังเมืองอิมฟาล(Imphal) ดังกล่าว จะมีสนามบินสามารถบินตรงไปได้ จะสะดวกกว่าเยอะครับ แต่จนถึงวันนี้ ก็เลยยังไม่ได้ไปดูตลาดเสียที ฮึ่ม.....อาฆาตไว้ก่อนเลย ว่างเมื่อไหร่จะต้องไปดูให้เห็นกับตาสักครั้งแหละน่า!!!
ข่าวล่ามาแรงบอกว่า ทางรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของอินเดียได้ประกาศว่า จะสร้างรั้วเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนทั้งสองฝั่ง ส่วนจะเป็นที่ไหนบ้างนั้น ผมได้ถามเพื่อนไปแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจุดไหนของชายแดนบ้าง ผมก็เลยมึนไปเหมือนกันครับ แต่ที่แน่ๆ ข่าวนี้ผมได้เช็คดูจากสำนักข่าวไปแล้ว เป็นข่าวจริงแน่นอนครับ ไม่ใช่ข่าวโคมลอย
อย่างไรก็ตาม ชายแดนทั้งสองประเทศนี้ มีความยาว 1,643 กิโลเมตร ซึ่งเป็นชายแดนที่มีความสำคัญทางการค้าชายแดนไม่น้อยเลย หากมีการเข้มงวดกวดขันกันจริงๆ เราคงต้องจับตาดูว่าจะเป็นจุดใดบ้าง? และจะมีผลต่อการค้าระหว่างเมียนมา-ไทยหรือไม่ต่อไปครับ
เหตุผลของการเข้มงวดชายแดนดังกล่าว เชื่อว่าเกิดจากความไม่สงบภายในของประเทศเมียนมา จึงได้มีการลี้ภัยจากประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศอินเดีย ซึ่งจะเป็นภาระให้อินเดียต้องแบก เขาจึงได้ทำการเข้มงวดต่อการข้ามแดนเป็นพิเศษครับ ในอดีตที่ผ่านมา การผ่านแดนระหว่างสองประเทศ เขาก็จะทำคล้ายๆ กับชายแดนระหว่างไทย-เมียนมา โดยที่ชายแดนจะทำการทำบัตรผ่านแดน (Border Pass) ซึ่งเขาอนุญาตให้ผู้ถือบัตรดังกล่าว เข้าไปสู่เมืองชายแดนได้ไกลไม่เกิน 16 กิโลเมตร และอายุบัตรมีเวลาหนึ่งปี อยู่ได้ครั้งละไม่เกินสองสัปดาห์ จึงทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศสะดวกในการทำการค้าชายแดนไม่แพ้ชายแดนทางฝั่งประเทศไทย-เมียนมาเลยครับ
สินค้าที่ทางชายแดนฝั่งนี้ค้าขายกันในอดีต จะเป็นสินค้าประเภทยารักษาโรค ที่เราเห็นกันตามร้านขายยาและแผงลอยในตลาดกรุงย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งจะมาจากเมืองอิมฟาล(Imphal) เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีสินค้าไทยอีกหลายๆ ชนิด ที่ทางฝั่งอินเดียต้องการ ก็จะไหลจากจุดนี้เข้าสู่ตลาดอินเดียด้วยเช่นกันครับ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า สินค้าที่จะเข้าไปสู่ตลาดอินเดีย ไม่ใช่จะเข้าไปได้ง่ายๆ เลย เพราะกฎระเบียบเยอะหยุมหยิมมากๆ ทำให้พ่อค้าที่ทำการค้าชายแดนอยู่ จึงอาศัยช่องทางนี้ เป็นช่องทาผ่านแดนที่สะดวกที่สุด ขายเสร็จเก็บเงินสดๆกันไปเลยครับ
สินค้าอีกประเภทหนึ่ง ที่เข้าทางด่านนี้เป็นประจำ คือ “ทองคำ” ครับ ท่านไม่ได้อ่านผิดหรอกครับ ทองคำจริงๆ นี่แหละ แต่พ่อค้าเขาจะดูจังหวะแต่ละช่วงเวลาในการค้าขายกัน เพราะราคาทองคำของทั้งสองประเทศ จะสูง-ต่ำไม่เท่ากันเสมอ พ่อค้าจะอาศัยจังหวะดังกล่าว ขนเข้า-ขนออกกันเพื่อทำกำไรครับ อีกอย่างทองคำของทั้งสองประเทศ จะมีสีสรรที่เหมือนกัน คือ “เหลืองอร่าม” ที่ไม่เหมือนทองคำไทยครับ และที่สำคัญเมืองอิมฟาล(Imphal) เป็นเมืองที่มีตลาดอัญมณีที่ขึ้นชื่อของอินเดียครับ
เราจะเห็นถึงความสำคัญของการค้าชายแดนเมียนมา-อินเดีย ถ้าหากการประกาศเข้มงวดการเดินทางข้ามไปมาหาสู่กัน คงจะมีปัญหาด้านการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศแน่นอนครับ ดังนั้นกลุ่มเพื่อนๆ พ่อค้าชายแดนไทยเรา ต้องเฝ้าจับตาดูโอกาสนี้ไว้นะครับ ไม่แน่.....อาจจะตกสู่มือของพวกเราก็ได้นะครับ