เคราะห์หาม ยามร้าย

06 ม.ค. 2567 | 11:38 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ม.ค. 2567 | 12:34 น.

เคราะห์หาม ยามร้าย คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

บางคราวผู้คนทั้งหลายรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามีเคราะห์ มันเเสดงออกในความรฤกถึงความหน่วงเหนี่ยวบางประการ

ยามจะก้าวเดิน ความติดขัดและหลุมลึกในระยะบางช่วงสั้นๆของชีวิต
 
ผู้มีตาที่สามนั้นเขามีข้อห้ามว่าไม่อาจจะส่องมองตัวเองได้ เขาให้ใช้ทำประโยชน์แก่คนอื่นไม่งั้นมันจะไม่เปนธรรมกับโลก

พวกครูอาจารย์สำคัญๆ ท่านก็รู้ว่าตัวท่านเองส่องไม่ได้แม้สาธุชนทั้งหลายจะรับรู้กับถึงอภิญญาวิเศษของท่าน แต่ท่านก็ส่องตัวเองไม่ได้ จะพบว่ายามเกิดเหตุประหลาดชอบกล ท่านเหล่านั้นมักจะใช้วิธี ‘ขอลาง’ แทนเอา เช่น ครูบาวัง วัดบ้านเด่น ท่านกำหินสองก้อนดำ_ขาว จุดเทียนเวียนบาตรน้ำมนต์ เพ่งลงจนเข้าอัปณาสมาธิ แล้วลางนิมิตปรากฏขึ้นในน้ำ ข้างพระเดชพระคุณหลวงพ่ออุตตมะ ท่านควั่นเทียนเอง ทำไส้เทียนเทียบอายุ ม้วนชนวนด้วยยันต์ครูบางประการ แล้วจุด_ขอลางก็จะพอทราบเหตุดีร้ายภายในระยะใกล้ๆสั้นๆ
 
เวลาเคราะห์มันเข้ามาหาม หมายความว่าเราจักทำไรมิได้ เหมือนคนหมดกำลังหมดสิ้นหนทางจักปัดเป่าเขย่ากาย มันจะบล็อกจะล็อกอยู่อย่างนั้น_อย่างว่าเปนอัมพาตเทียม ตัวรวบตึงขึงอยู่ รอให้มันเข้ามาหามแห่_เอาไปเผา

เราท่านก็ต้องรับมือด้วยสุขุมคัมภีร์ มองไว้ในแง่ดี ว่าเคราะห์ดีนะ ไม่มีคนเจ็บ เคราะห์ดีนะไม่เสียหายมากกว่านี้ ฯลฯ ลงว่างานจำพวกนี้อย่าไปเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ผิวเผินมากนัก โลกยังหาคำตอบไม่ได้หลายเรื่อง เช่น คนเราทำไมมีฟันน้ำนม ตับของคนรูปทรงเปนยังงั้นได้ไง ไดโนเสาร์ใครออกแบบ ฯลฯ
 
อันว่าอุบัติเหตุนั้นเปนเรื่องของความพอดี คือ ความฉิบหายมาบรรจบกันพอดี พายุมาพอดี ถอยรถสลับคันพอดี ฝนมาหนักพอดี มาพร้อมดังนี้ พอเกิดเรื่องเข้า เขาเรียกว่ายามร้าย!
 
เมื่อปีก่อนๆเกิดประสพเหตุอย่างว่า เคราะห์หาม_ยามร้ายขึ้นมา มันเริ่มจะเรื่องเล็กๆแต่ทว่ารุงรังเข้ามาเสียก่อน แล้วค่อยๆลามลุกมาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั่งจนกระทั่ง เกิดเหตุโรงรถถล่มลงมา ทำเอาให้เกิดความรู้สึกว่า_เกือบไปแล้ว สร้างความเสียหายหลายประการ ในความรฤกรู้แบบไทยๆ ก็คิดว่าอยู่ไม่ไหวต้องหาทางแก้
 
ฉับพลันนั้นก็นึกถึงท่านครู ที่ทุ่งเสลี่ยม ซึ่งยังทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ชื่อว่าครูท่านเจ้าคุณพิพัฒน์


 
=เจ้าคุณพิพัฒน์=
 
เจ้าคุณพิพัฒน์ เปนเจ้าคุณที่พระมงคลพัฒนพิธาน ฉายาคุณะยุตโต เปนผู้มีบารมีมาก มีเมตตาสมาธิสูง และรู้ทันคน ตบะเดชะกล้าแห่งท่าน เกี่ยวพันกับการบำเพ็ญมาตั้งกะสมัยวัยรุ่น
 
ยามเมื่อมาปักกลดที่ทุ่งเสลี่ยม ดวงจิตเก่าแก่แถวนั้นได้นิมนต์ให้อยู่สร้างวัด ใครอยากส่องวัดท่านก็ไปกดหาดูเองได้เลย
 
ครูบานั้นท่านชอบลองมานะคน ไอ้ประเภทว่ามาง่ายๆใส่ซอง 120 แล้วมาขอของดี ท่านก็ให้_แต่ให้เปนวัตถุ ให้เปนข้อธรรมะปริยัติ แต่ใครมาโดยมานะ สามครั้งขึ้นไปแล้วไซร้ ท่านจึงจะให้ ปฏิเวธธรรม
 
อันว่าทำทานนั้นจักจะต้องทำโดยปราณีต อย่าทำขอไปที หรือไปวนของสำเร็จมาทำทาน_มันง่าย มักง่าย
 
กับของบูชายิ่งไม่สมควร ออกพรรษาแล้ว ยามนั้นจึงถวายเทียนปาฏิโมกข์ 24 โดยใช้เทียนสีผึ้งแท้ไร้ควันของโรงหล่อเทียนหลวง ถวายผ้านิสีทนะขาว สั่งตัดพิเศษ รองก้นด้วยผ้าใบไนล่อน กันความชื้น 2 คู่ เพื่อครบองค์สงฆ์ ยามท่านนั่งสวดมนต์ที่แจ้งหาหรือลานหญ้าจะได้กันน้ำค้างได้ดี น้ำผึ้งอีก 2 คู่หลอด บำรุงร่างกาย
   
ครูบารับแล้วยิ้มชื่นสำรวม ท่านพิจารณาแล้วเอ่ยปากชมว่าดี ตลอดเวลาแห่งความเงียบนั้น เข้าใจว่าท่านเดินญาณสมาบัติพิจารณาความเปนไปในตัวโยมโดยตลอด จู่ๆท่านก็หยิบหวายก้านซึ่งเก็บในซองผ้าสีกรักข้างตัวขึ้นมา กวักมือเรียกว่าเข้ามาใกล้ๆแล้วให้แบมือ ท่านลงปลายหวายนั้นในมือ ใช้หวายนั้นเคาะไปบนหัว บนไหล่ ไล่ไปยันมือ กลับไปมา เสร็จแล้วท่านไม่พูดไร
 
ไอ้เรานั้นรับทราบความสงบเเห่งใจ ทำกิริยาสำรวมไว้ และกุมจิตใจให้นิ่ง ท่านว่า เรื่อง ‘ของ’ นั่นไซร้ เหมือนไปรษณีย์ ใครส่งมาให้เราไม่รับเสียอย่าง มันก็ตีกลับไปเจ้าของ
 
กราบเรียนว่า เหล่านี้มันกระทำแก่โยมมามากแล้ว ท่านอมหัวเราะในคอเอ่ยปากว่า “มันแพ้เราล่ะ” มือท่านจับไม้หวายเคาะฟาดไปมาอีกรอบหนึ่ง

ดังนี้เขาเรียกว่า “วิชาสมภาร” ใครจะมาเปนเจ้าวัดเจ้าอาวาส จำจะต้องมีวิชาสมภาร วิชาแบบนี้
 
รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้
 
คนมาประมาทวัด ถลุงชุมชน มาเอาเปรียบแสวงประโยชน์ ทำระยำต่างๆ สมภารที่ไวและมีวิชา ท่านสามารถ ประคองอาราม ประคองชุมชนประคองศิษยานุศิษย์ไว้ได้ เสร็จจากทุ่งเสลี่ยงแล้วก็ตัดออกไปเมืองตากเพื่อทะลุไปเชียงใหม่หวังใจจะไปทำกุศลให้อิ่มบุญ พลีน้ำมารดอาบรดหัวล้างเคราะห์
 
น้ำสำคัญอันนี้ เลยเล่าท่านฟังไว้ทีในตอนเครื่องบัดพลีและสะตวง เชียงใหม่ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าใหม่ ลำพูนสิเก่า เขาอายุเปนพันๆปี เชียงเราใหม่เพิ่งจะ 700 เชียงใหม่นี้เปนเมืองน่ารักอยู่แล้วสบายใจ ยามใดใจบ่มทุกข์กลัดร้อนมาเชียงใหม่ ได้ความสบายหายสิ้น เปนการชุบชีวี ชนิดหนึ่งแก่คนป่วยใจป่วยกาย


 
ก่อนนี้ (ก่อนสหัสวรรษ 2000) ไปเชียงใหม่ ถ้าว่ามีกะตังค์ก็นั่งเรือบินไป สมัยก่อนมีที่ไหนล่ะ low cost มันมีแต่เจ้าจำปี เขาผูกขาด ขึ้นเครื่องก็กินข้าวที่ภัตตาคารการบินไทย ใครไฮโซหน่อยก็โน่น ไปนั่งห้องรับรอง
 
พวกผู้ใหญ่เขาเปนห่วงเวลาเด็กไปเชียงใหม่ลำพัง เขาไม่ให้นั่งไปหรอกรถทัวร์ บังคับให้นั่งรถไฟ ค่าที่รางมันตรงล็อกไว้เถลไถลไปไหนไม่ได้ และบนขบวนนั่นมีตำรวจเสมอ_ตำรวจรถไฟ (ซึ่งเขาเพิ่งจะลบพวกท่านออกไปจากสารบบไม่นานนี้)
 
จนบัดนี้มันยังคงมีรถด่วนสปริ้นท์เต้อ ไม่มีรถจักรลาก มันขับด้วยตัวมันเอง เรียกรถด่วนเวียงพิงค์หรือนครพิงค์ประมาณนี้ มีข้าวน้ำเสิร์ฟดีไม่แพ้เครื่องบิน และไปไวกว่ารถนอน ส่วนเวลาขับรถไปเชียงใหม่ มันมีทางให้เลือก 2 สาย คือจะไปทางกำแพงเพชร รึจะไปทางพิษณุโลก ให้ตัดสินใจที่นครสวรรค์ ถ้าพิดโลก มันจะต่อไปเด่นชัย ลำปาง แล้วหักขึ้นเชียงใหม่ 
 
ถ้ากำแพง มันจะต่อไปตาก เถิน ลำปาง แล้ว หักขึ้นลำพูน เชียงใหม่ โตขึ้นจึงแปลกใจว่าถนนสองสายนี้ระยะทางเท่ากันเป๊ะ 746 กม.
 
เมื่อก่อนนี้ขับรวดเดียวถึงเชียงใหม่ได้ ออก กทม. ช่วงบ่ายๆด้วยรถ w124 Brilliant Silver มีซันรูฟ 
วิ่งปรู้ดเดียวถึงกำแพงเพชร แวะไหว้คุณเจริญ กินข้าวที่ร้านแก ตรงสลก บาตร (ที่จริงคุณเจริญชื่อวิรัช แต่เปิดร้านชื่อเจริญโภชนา ขายประดาสรรพอาหารอร่อยฝีมือเอร็ดฝีปาก) อิ่มดีแล้วเติมน้ำมันเอสโซ่ แล้วค่อยกดคันเร่งอีกวืบนึง ผ่านบ้านที่ริมน้ำปิง ป่ามะม่วง ข้ามสะพานกิตติขจรหักซ้ายขึ้นไปสามเงา ถนนช่วงนี้ก่อนถึงเถิน ไม่มีปั๊มน้ำมัน
 
ไอ่บางคนเขาว่า เเหม กินหรูอยู่แพง 55
 
เค้าไม่เข้าใจว่าบนทางสายเปลี่ยวนั้น หลายคราวการประหยัดไม่ใช่คำตอบ หากแต่เปนแหล่งแห่งพวกแลมิตร ที่ยามเราตกที่นั่งลำบากแดนไกลนั้น มีพวกท่านเธอเขาเหล่ามิตรรายทาง_ช่วยเหลือ 
 
คนรุ่นใหม่กลัวการเดินทางไกลในถนนร้างเปลี่ยว เพราะไม่ได้ผูกคุณธรรมน้ำมิตรเอาไว้กับเครือข่ายรายทาง หวังใจว่าโซเชียลและเฟสบุ้คจะช่วยเหลือได้เสมอ_ก็ตามใจตามใจ
 
ไอ่ตัวเราไม่หวั่นกลัวอะไร ที่ลานดอกไม้ มีคุณลุงนึก ร้านปลาที่สลก บาตร มีคุณวิรัช ร้านเจริญที่เมืองตาก มีคุณป้าน้อย ครัวสโมสร
 
ท่านเหล่านี้หามิได้จ่ายค่าข้าวมื้อใหญ่ได้รสโอชาอย่างเดียว ทว่ายกมือไหว้ท่านก่อนเสมอ ค่อยสั่งข้าว ไปลามาไหว้ ใครๆก็จำได้หากเกิดเรื่องร้ายใดๆ ตำรวจตามหา ยังมีพยานจำได้ถึงลักษณะพิเศษ

(ต่อตอน 2)