น้ำมนต์ ภะคะวา

30 ธ.ค. 2566 | 14:07 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ธ.ค. 2566 | 14:14 น.

น้ำมนต์ ภะคะวา คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

“ด้วยอำนาจของน้ำมนต์ ภะคะวา_ให้เงินทองไหลมาเทมา”
 
พระคาถานี้ หลวงพ่อช่อ วัดโคกเกตุ เมืองแม่กลองท่านเมตตาภาวนากำกับยามเมื่อเราไปขอน้ำมนต์อันเปนที่เลื่องลือของท่านใส่แกลลอนกลับมาประพรมที่บ้านท่านสั่งว่า
 
“น้ำมนต์นี้ชื่อน้ำมนต์ ภะคะวา ตื่นเช้ามาให้ประพรมที่หน้าร้าน ประพรมที่ข้าวของที่จะขายเวลาประพรมให้ภาวนา ว่าด้วยอำนาจน้ำมนต์ภะคะวา_ให้เงินทองไหลมาเทมา”
 
“ใครหัวเราะเยาะ ใส่เรา จะยิ่งขลัง” “ห้ามผสมน้ำเพิ่มนะ ใช้ได้เท่าที่เอาไป อย่าผสมน้ำเพิ่ม” ท่านว่า

มาบัดนี้ท่านบรรณาธิการบริหารมีคำแนะนำว่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับประสบการณ์ลึกๆเร้นๆในเมืองไทยขอให้เขียนนำเสนอในเชิงสารคดีสู่ท่านผู้อ่านบ้างในลักษณะปรากฏการณ์แปลกๆประหลาดๆกันบ้างก็น่าสนใจ
 
ปี 2545-6 ครอบครัวไปจับธุรกิจทำนากุ้ง เปนนากุ้งน้ำเค็ม (P.vanamei/  P.monodon)แต่ว่าไปเลี้ยงกันอยู่ในบ่อขุด ที่ อำเภอบางเลน เขตจังหวัดนครปฐม ใช้วิธีซื้อน้ำทะเลบรรทุกรถมาใส่บ่อ แล้วมีมาตรวัดความเค็มจับเอาให้ได้ระดับ
 
เวลานั้นกิจการเลี้ยงกุ้งส่งขายเมืองนอกเฟื่องฟูลงทุนแสนบาท ในระยะเวลาสามเดือนได้คืนเท่าตัว มีหมอสัตว์ นักวิทยาศาสตร์มาเปิดห้องแล็ปทดสอบน้ำบ่อนากุ้ง ตรวจโรคให้กุ้งกันอยู่ทั่วไป ทรัพย์ในดินสินในน้ำชนิดนี้ ตกกลางคืนจะต้องเฝ้า เฝ้าอย่างว่านอนกอดปืน ด้วยภัยโจรในดงนั้นมีชุกชุม
 
ปวงพวกเขาหากินบนความทุกข์แห่งเรา ผู้ซึ่งไปหากินบนชีวิตสัตว์น้ำนั่นอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ดีความยินดีในกำไรแห่งอาชีพเลี้ยงสัตว์ฆ่าสัตว์นั้นชะรอยจะอยู่ไม่นาน เงินลงทุนขยายบ่อเช่าพื้นที่เพิ่มนั้นลงได้ไม่นานก็บังเกิดเหตุประหลาด

“กุ้งลอย”
 
คำๆนี้เกษตรกรนากุ้งหวั่นไหวนัก หากว่า “กุ้งลอย” ด้วยว่ากุ้งนั่นมันเปนสัตว์หากินหน้าดินใต้น้ำ เราจักไม่เห็นตัวมันหรอก หากว่ามันสุขภาพดีอยู่เย็นเปนสุข แต่ทว่าถ้าเกิดมีเรื่อง ไม่ว่าอากาศเปลี่ยน ความเค็มเปลี่ยน ห่าลง พวกมันทั้งหลาย_ไม่ไหว มันจะลอยแพขึ้นบนผิวน้ำ อันเปนสัญญาณแห่งความหายนะมาถึงเวลานั้นทุกคนทุกฝ่ายเห็นวิบัติภัยมาเยือน กุ้งทยอยลอยขึ้นทุกบ่อจากจำนวน 12 บ่อชุดแรกผู้มีหน้าที่ก็วิ่งวุ่น ตักน้ำตักกุ้งไปห้อง “แล็ป” เลาะไปตั้งแต่ย่างบางเลนเลยลงไปจนจะถึงมหาชัยบ้านแพ้ว สัตวแพทย์ก็ส่ายหน้าหาความผิดปกติไม่เจอไม่รู้ว่ากุ้งลอยด้วยสาเหตุอะไร ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนานาจะหาทางแก้ไม่ได้
 
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน แห่งนาทีเป็นนาทีตายหน้านั้นยังมีผู้รู้ผู้หนึ่ง เมื่อทราบถึงหายนะจะมาเยือน
 
ดังนี้ ท่านก็ให้ความเมตตา ในความมืดมนอนธกาลนั้น สู้อุตส่าห์ชี้ช่องส่องไฟให้ไปกราบพระอภิญญา
รูปหนึ่งนามกรว่า พระครูช่อ อยู่วัดโคกเกตุ แขวงเมืองแม่กลอง
 
เวลานั้นพระเดชพระคุณมีชนมายุสูงมากแล้วร่างสูงโปร่งขาวใหญ่ของท่านนั่งสุขุมอยู่บนเก้าอี้ไม้สักยาวเคียงด้วยตั่งวางของสัพเพเหระ ในอาคารศาลาการเปรียญหลังคาสูง เวลานั้นท่านเจ็บด้วยอาการไข้ น้ำมูกใสไหลออกจมูกข้างขวาต้องซับออกด้วยกระดาษฟางขาวทุกครึ่งนาทีมีผู้คนเข้าไปกราบสักการะมาก พวกเขาเหล่านั้นจะซื้อแกลลอนใหม่ๆที่ทางวัดมีขายแกลลอนละ 30 บาท เอาไปตวงน้ำมนต์ในโอ่งเซรามิคลายสีขาวแปดเหลี่ยมกลางศาลา ไขฝาปิดแล้วหอบหิ้วมาหาท่าน อย่างว่าจะให้ท่าน “มนต์” ให้อีกครั้ง
 
ท่านผู้นั่งสงบสำรวมอยู่ ณ ที่นั้น พูดจาแผ่วเบา มอบพระสมเด็จสีขาวแจกให้เปนที่รฤกทุกคนไป ไม่เรียกร้องอะไรจากผู้มาเยือน
 
เมื่อถึงคราวของเรา หลังจากท่านรับฟังแล้วท่านได้เพ่งอภิญญา คล้ายกับมองว่าปัญหาที่เรากราบเรียนนั้นจะแก้ไขอย่างไรได้ จากนั้นท่านจึงเอ่ยคำถามว่า 
 
“มีกี่บ่อ?”
 
เรากราบเรียนว่า 12 บ่อ ท่านพยักหน้าและทำกิริยาที่เราเข้าใจว่ากำลังสมาบัติด้วยอาการสำรวม ลืมตาแล้วท่านเมตตาชี้แนะว่า 
 
“เอาน้ำมนต์ไปนะ ไปเทลงบ่อที่มุมบ่อสี่ทิศ ทิศละแกลลอน”
 
“ห้ามผสมน้ำนะ เทไปอย่างนั้น ผสมน้ำแล้วใช้ไม่ได้”
 
พวกเรากราบลาด้วยความหวังเรืองรอง และทุลักทุเลตวงน้ำมนต์ใส่รถให้ได้ 48 ถัง ระยะทางเกือบสองชั่วโมงถึงบางเลนนั้น เราไม่รีรอจะเทน้ำมนต์ลงบ่อกุ้งทั้งหลายตามที่ชี้แนะ
 
ยามเย็นสายลมพัดมา ก็ให้ได้พบว่ากุ้งที่ลอยนั้น ค่อยๆจมลงสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ! คำตอบที่อธิบายได้ยากเกิดขึ้นแล้ว รอบนั้นเมื่อเก็บกุ้งขายได้แล้ว ปวงเราทั้งหลายพร้อมใจกันไปเลี้ยงเพลพระ ที่วัดโคกเกตุ ซึ่งพระเดชพระคุณเปนเจ้าอาวาสประธานของคณะนั้นเราเชิญแม่ของทุกคนไป เวลานั้นท่านพระเดชพระคุณอายุได้แปดสิบที่ศาลาฉันจังหันยามเพลนั้น แลดูพระเดชพระคุณเดินเหินแคล่วคล่อง ร่างใหญ่สูงขาวผ่องรัศมีนั่งเปนประธานสงฆ์ เรียกเอาภิกษุสามเณรทั้งอารามมารับภัตตาหารรายรอบนั้นเห็นเรือพายทรงเรียวแบบชาวแม่กลองแขวนอยู่ในโรงเรือ เปนเรือเรียวบางที่พระภิกษุสงฆ์ในอารามพายออกโปรดสัตว์บิณฑบาตลัดเลาะไปตามคูร่องคลองลัดแห่งดงชาวสวนทุกเช้ามืดประเคนหวานแล้ว เราทั้งหลายนั่งรออังคาสพระอยู่ ในความเงียบนั้นท่านเปรยขึ้นมาว่า
 
“เลี้ยงกุ้งขายจะทำไปอีกนานเท่าไร?”
 
ส่งนัยยะแห่งการบิณฑบาตขอเราให้ละเสียซึ่งชีวิตสัตว์ค้าขายยังขีพพระมหาไถ่ ผู้เฝ้าคอยรับบาปเคราะห์ไถ่ทิ้งให้ในพระพุทธศาสนาฝ่ายไทยเปนอย่างนี้ ท่านเล่าให้ฟังว่าทุกเช้ามืดตีสาม ท่านจะลุกขึ้นมาทำน้ำมนต์ น้ำมนต์นี้ท่านทำได้เองตั้งแต่อายุห้าขวบ ท่านไม่รู้ว่าทำไมจึงทำได้ แต่ท่านรู้ว่าท่านต้องทำท่านได้ทำน้ำมนต์นี้เรื่อยมาทุกเช้า เปนวัตรยามเมื่อท่านเข้าสู่เพศภิกษุภาวะแล้ว ท่านก็ถือวัตรนี้เปนปรกติ
 
ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์แม่กลอง มาถึงวัดโคกเกตุบุญญสิริ ทรงสอบสวนกิริยาการทำน้ำมนต์ออกแจกจ่ายของพระช่อท่านได้กราบทูลตอบคำถาม ว่าท่านทำได้เองตั้งแต่อายุห้าขวบ ท่านไม่รู้ว่าทำไมจึงทำได้ แต่ท่านรู้ว่าท่านต้องทำ ท่านได้ทำน้ำมนต์นี้เรื่อยมาทุกเช้า เปนวัตรสมเด็จทรงมีพระวินิจฉัย ว่า “ชะรอยจะเปนสัญญาเก่า ติดมาแต่ชาติปางก่อน”
 
น้ำมนต์ของท่านนี้ ท่านว่า “ชื่อ น้ำมนต์ภะคะวา” เวลาใช้ประพรมสิ่งของจะขายให้ภาวนา “ด้วยอำนาจน้ำมนต์ภะคะวา_ให้เงินทองไหลมาเทมา” มีทนายผู้ใหญ่ในจังหวัดนครปฐมตกที่นั่งลำบากจะขายอาคารตึกแถวสำนักงานสามคูหา ราคาก็ถูกมาก แต่หามีผู้ใดติดต่อมาขอซื้อไม่เปนเวลาปีกว่าได้ประพรมอาคารด้วยน้ำมนต์ภะคะวา ที่หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ ไม่นานก็ขายได้ผู้ขายรถยนต์มือสองก็เจอประสบการณ์ค้าง่ายขายคล่องเช่นเดียวกัน
 
หลวงพ่อกำชับนั้นมีอยู่สองประการ คือ 1. ห้ามผสม 2. ใครหัวเราะใส่ว่าเรางมงายจะยิ่งขลังซึ่งเปนปริศนาที่ยังน่าหาคำตอบถึงกลไกการทำงานเบื้องหลังข้อกำหนดนี้
 
หลวงพ่อช่อ วัดโคกเกตุ ฉายาปัญญาปทีโปเปนคนเขาย้อย มีรูปงามมาแต่ยังเยาว์ เมื่ออายุ 22 ท่านอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดบางเค็มเปนสัทธิวิหาริกในหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฎีบางเค็ม ท่านสืบวิชาทางคงกะพันจากหลวงพ่อชุ่ม พระสมเด็จของท่านนั้นมีผู้พกพาไปแล้วถูกจ่อยิงที่ศีรษะ ปรากฏว่าลูกกระสุนติดแบนยู่อยู่ที่หน้าผาก ไม่สามารถยิงเข้ากะโหลกได้
 
ต่อมาท่านเข้าไปต่อวิชาด้วยคุณหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านทำลูกแก้วสารพัดนึกไว้ด้วย ยามนั้นเราพาคณะที่ทำงานไปกราบท่าน ท่านให้ไปตีกลองเภรีที่ศาลา ภาวนาว่า “ชิตังเม” ให้ชนะทุกสิ่ง
 
ท่านบอกว่าการอบรมสั่งสอนคน จะพูดคำหวานๆเสมอไปไม่ดีต้องมีการพูดถูกแพงๆปะปนกันไป
 
เหรียญรูปไข่รุ่นสองของท่านเปนที่นิยมมากกว่ารุ่นแรก ด้วยว่าสวยงามนักออกแบบโดยนายช่างเทวดา เกษม มงคลเจริญ เมื่อปี 2519 หลังท่านรับพระราชทานพัดยศพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูสังวรานุโยค นับเปนสมาชิก “ทีมสังวร” อีกรูปหนึ่ง หลังจากมรณะ

ละสังขารในปี 2551 สรีระสังขารของหลวงพ่อนั้นกลับไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเหมือนท่านนอนหลับไป และแข็งกลายเปนหินไม่มีกลิ่นเหม็น ทุกวันนี้ศิษย์ผู้สืบวิชาน้ำมนต์ของท่านยังคงทำหน้าที่เตรียมน้ำมนต์ไว้ให้ศาสนิกชนผู้ศรัทธาบรรจุใส่แกลลอนกลับไปใช้งานทุกวัน ที่วัดโคกเกตุบุญญศิริ เมืองแม่กลอง