วิธีสร้างตบะเดชะอย่างสัจจะรามัญอธิษฐาน

04 พ.ย. 2566 | 13:55 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2566 | 14:09 น.

วิธีสร้างตบะเดชะอย่างสัจจะรามัญอธิษฐาน คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

...3. อนันตคูณของอาการ 32 ‘ทุกระยะ ทุกวินาที’ คำนี้หลวงพ่อเปนผู้รจนาเองท่านจับเอาความว่าง เมื่อใดปรากฎความว่างขึ้นในห้วงจิตท่านภาวนากรรมฐาน 32 ‘ทุกระยะ ทุกวินาที’ เพียงชั้นนี้ก็สามารถแสดงให้เห็นว่ากำลังจิตของหลวงพ่อได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเปนอนันตคูณนับไม่ถ้วนเพียงไร
 
4. พิจารณารับอรุณ ยังไม่พอหลวงพ่อพิจารณารับอรุณ ด้วยบทอุเทยัญจักขุมา ทุกเช้าไป หากว่าท่านได้ไปล่องเรือยามฟ้าสางเห็นแสงทองเรื่องรองที่แม่น้ำพาราณสีซึ่งมีอายุเท่ากันกะกรุงโรมแล้วไซร้จะเข้าใจ ความเรืองรองของยามอรุณเบิกฟ้า ด้วยผู้นำล่องเรือมักจะเชิญชวนให้สวดมนต์ปริตร ข้ออุเทยัญจักขุมา
 
หลวงพ่อใช้กลไกสติผูกจับกับการเคลื่อนที่ของเวลา ท่านตรวจความสว่างพิจารณาลายมือก่อนออกบิณฑบาต และกิริยาการรับรู้ของสตินั้นท่านแสดงออกผ่านบทสวดปริตร อุเทยัญจักขุมา รับอรุณ ซึ่งตำราหนึ่งเรียกว่าคาถานกยูงทอง ด้วยเหตุว่าครั้งพระพุทธเจ้าเสวยชาติเปนพระยา นกยูงทองโพธิสัตว์ จักภาวนาคาถานี้ทุกเช้าค่ำ ท่านผู้สนใจสามารถศึกษาต่อได้เอง
 
5. อนันตคุณ ๕ ก่อนออกเดินทางไปไหนมาไหน หรือก่อนจำวัด พระเดชพระคุณหลวงพ่ออุตตมะท่านภาวนา อนันตคุณ 5 เพิ่มความถี่การปฏิบัติเข้าไปใหญ่
 
6. มีสติกระทั่งยามนอน หลายครั้งที่เราได้ยินได้ฟังนักปฏิบัติทั้งหลายต้องต่อสู้กับความง่วงเหงาหาวนอน ร่ำๆจะหลับลงไปสู่ห้วงนิทรารมย์คงจะเปนสุข..โลกียสุขอันขัดขวางเส้นทางบรรลุธรรม

ฝ่ายเต๋าว่า กินน้อย นอนน้อย ไม่อยากได้อยากมี ก็ใกล้สำเร็จเปนเซียนเข้าทุกที ฝ่ายการปฏิบัติเรื่องสตินั้น ยอมรับว่าการฝืนสัญชาตญาณที่ธรรมชาติกำหนดแก่มนุษย์ฝังชิบไว้ในสมองร่างกายเปนอุบายหักทิ้งซึ่งความยินดีในการเวียนว่ายสังสารวัฏ ปฏิวัติการครอบงำด้วยเกณฑ์ธรรมชาติเสียด้วยกฎใหม่ที่สร้างขึ้นเองจึงสามารถแหกคอกวงจร เกิด_ตาย_สุข_ทุกข์ได้สำเร็จ
 
หลวงพ่ออุตตมะของเรานี้ ตั้งแต่ครั้งเปนพระหนุ่มออกธุดงควัตรปักกลดไม่ติดที่และลาภสักการ นอนหนุนสังฆาฏิ รองบาตร ในที่แคบระยะกลด ท่านนอนตะแคงขวาเสมอ เฝ้าระวังไม่ให้หลงเข้าในภวังค์นิทราชัดส่าย ด้วยกลวิธีต้องประคองสติไม่ให้บาตรหนุนศีรษะพลิกหล่น! จนเปนท่าจำวัดประจำตัว
 
7. ชำระอสุภะ กิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อที่กระทำมาตั้งแต่เปนเณร คือ การชำระ อสุภะ อสุภะนี้ไม่ใช่ศพเท่านั้นแต่หมายความถึงของไม่งามของไม่เจริญตา เจริญใจด้วย
 
7.1 ครั้งอยู่วัดเกสละ ท่านกวาดลานเจตีย์ชำระขี้นกทุกวัน ไม่มีเว้นตลอดสองปี
 
7.2 อยู่ที่วัดแพไจ้ เปนโรงเรียนปริยัติธรรมท่านรับอาสาชำระล้างไม้แก้งกัน(ไม้ปาดอุจจาระ) ของพระเณรที่ใช้แล้ว ด้วยการรวมมาล้างด้วยเท้า พอสะอาดบ้างแล้วเช็ดด้วยกาบมะพร้าวอีกที ทุกวัน

7.3 ไปปักกลดตามป่าช้า เวลาโรคฝีดาษลงชาวบ้านหามเอาคนเจ็บชุ่มน้ำหนองมาทิ้งให้ตายที่ป่าช้า ท่านก็เก็บคนเจ็บนั้นซ่อนไว้ คอยพยาบาลรักษา หายป่วยแล้วท่านก็เอาไปบวชเณร กุศลกรรมกองนี้เองที่ช่วยท่านไว้คราวกองกำลังกะเหรี่ยงกู้ชาติจับท่านแล้วจะฆ่าท่านทิ้งเสียถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ปรากฎว่ารองหัวหน้ากองกำลังนั้นเมื่อยังเด็กคือ คนที่ท่านช่วยชุบชีวิตชุ่ม หนองฝืดาษไว้ให้!ได้พบท่านแล้วก้มกราบรีบพาท่านหนีภัยมรณะดังได้เล่าแล้ว
 
7.4 ไปเก็บศพพระสงฆ์ตามวัดที่หนทางอันตรายหรือมีโรคระบาดที่ไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าดงเข้าไป
 
7.5 เฝ้าพยาบาลอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ที่ป่วยมีผู้ถามท่านว่าที่ท่านทำเรื่องอสุภะนี้เพราะเหตุไร ท่านว่าอาจารย์ของท่านสอนมาว่าทำแล้วมีอานิสงส์มาก ท่านเชื่อตามอาจารย์ว่า ทั้งนี้ก็ขออรรถาธิบายต่อไปว่า หากอานิสงส์คือผลได้จากการกระทำหนึ่งๆใดๆแล้วไซร้ อานิสงส์จากการฝืนโปรแกรมที่ธรรมชาติตั้งไว้ในสัญชาติญาณให้นิยมในของสวยของงามของหอม รังเกียจของสกปรกเน่าเหม็นทุเรศตา ย่อมทำให้ผู้ฝืนหลุดพันจากกรอบโปรแกรมที่กำหนดให้เกิดความเวียนว่ายตายเกิดได้ง่ายเข้าด้วยลดความยินดีในกามลงได้นั่นเอง
 
เมื่อชนมายุ 97 พระเดชพระคุณหลวงพ่อหมดวาระในโลกย์ ท่านละสังขารที่โรงพยาบาลศิริราช ปิดตำนานเทพเจ้าแห่งดินแดนสังขละบุรี คณะศิษยานุศิษย์นำร่างของท่านกลับแดนดินสังขละเที่ท่านผูกพัน ประดิษฐานไว้ในปราสาท 9 ยอดแห่งวัดวังก์วิเวการาม โดยร่างสังขารของท่านมิเน่าเปื่อยกลับเเข็งเปนหิน
 
สิ้นร่มโพธิ์ทองของพระมหาเถร อุตตะรัมโภแล้ว คลื่นมหาชนยังคงหลั่งไหลไปกราบไหว้บูชาเหมือนเวลาท่านยังดำรงขันธุ์ธาตุอยู่ ชาวบ้านร้านตลาดยังคงออกร้านจัดงานบุญตามวงรอบครบวันมรณภาพรายปี

 
แต่อนิจจา ดังได้กล่าวแล้วแต่ต้นมือว่าดินแดน 3 ประสบ ชายขอบชายแดนแหล่งชุกชุมมาเลเรียและมีสถานการณ์เปนมิคสัญญีอยู่เปนระยะๆมาตลอด 60-70 ปี ไอ้เรื่องความไกลปืนเที่ยงและความอุกอาจนั้น หลายคราวไม่เคยจักจางหาย
 
พระเดชพระคุณหลวงพ่อก่อนจักออกเดินทางไกลไปแดนนฤพานได้มอบหมายให้พระครูกาญจนสิทธิสารภิกษุผู้มีสายโลหิตสำคัญสืบวงศ์มอญมาแต่โบราณได้ครองวัดวังก์วิเวกรามและศาสนวัตถุไพศาลที่ท่านสร้างไว้สืบไป
 
จะด้วยเหตุไรก็ตาม หรือจะเปนด้วยสมภารใหม่ ยังไม่สำเร็จวิชาสมภารตามอย่างหลวงพ่อสอน โพล้เพล้
วันหนึ่งในช่วงสิ้นปี 2549 เสียงโป้งและควันปืน 11 ม.ม. ก็ดังขึ้นเจาะเข้ากลางอกท่านสมภารใหม่ มือปืนนุ่งโสร่งแดงคาดขาวปฏิบัติการสำเร็จแล้วเผ่นข้ามชายแดนเร็วพลัน สร้างความอกสั่นขวัญหายแก่ปวงศาสนิกในพื้นที่
 
กรมตำรวจระดมนักสืบชำนาญพื้นที่ออกวางกับดัก และในไม่ช้า มือฆ่า ก็ถูกตะครุบตัว ปรากฏว่าเปนทหารกองกำลังมอญหนีทัพรับงานฆาตกรรม ยามเข้าจับกุมนั้นตำรวจยังพบระเบิดมือติดตัวพร้อมใช้อีก 26 ลูก

ให้การซัดทอดถึงผู้จ้างวาน ว่าแท้แล้วคือพระเลขานุการใกล้ชิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง พระเลขาอายุได้ถึง 72 ปี แต่ผิดหวังที่มิได้รับมอบให้ครองอาณาจักรหลวงพ่ออุตตมะอดเปนสมภารจึงจ้างวานให้ลงมือ


 
เมื่อผู้บังคับการตำรวจไปถึงกุฏิที่พัก ผู้พ่ายแพ้ต่อกิเลสคนนั้นก็ยอมถอดสบงจีวรเปลื้องออกด้วยตนเอง ด้วยรู้แก่ใจว่าหมดเวลาแห่งสมณเพศ ต้องใช้กรรมในคุกเรือนจำที่จ้างวานเขาน่ะล่ะไปฆ่าพระครูกาญจฯสมภารใหม่
 
ทิ้งท่านครูผู้สำเร็จวิชาสมภารโดยพากเพียรถ่ายทอดไว้เบื้องหลังให้เหลือเพียงตำนานของยอดคนยอดมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งบากบั่นบำเพ็ญปรมาหิตานุหิตประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ไปพร้อมกับการขัดเกลาเฝ้าถางกิเลสฝึกตนเอกอุจนสำเร็จ success เปนผู้ศักดิ์สิทธิ สมนาม อุตตมะรัมโภ ผู้พากเพียรอย่างสูงสุดตามคำแปล


นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 หน้า 18 ฉบับที่ 3,937 วันที่ 5 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566