เรียนวิชาสมภารกับหลวงพ่ออุตตมะ (ตอน 2)

08 ต.ค. 2566 | 11:28 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ต.ค. 2566 | 11:33 น.

เรียนวิชาสมภารกับหลวงพ่ออุตตมะ (ตอน 2) คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

ตัวอย่างการใช้วิชาสมภารในการสงเคราะห์แลอนุเคราะห์ผู้ตกที่นั่งลำบากดังเช่น ชาวบ้านป่าถูกชุมโจรรุมปล้นในแดนมิคสัญญีตามที่โปรยหัวเรื่องไว้ตอนก่อน
 
แน่นอนว่าหลวงพ่อนั้นมีใจเด็ดเดี่ยว และแน่วแน่ในการแก้ปัญหา แม้รู้ว่าเปนภยันตรายถึงชีวิตแต่ท่านเปนผู้ตั้งมั่นแล้วจะต้องทำเสมอมา เปนด้วยท่านมีจริตน้อมไปในทางทำสัจจะบารมีมากกว่าบารมีทางอื่น
 
ท่านอาศัยความ‘ช่ำชอง’ในพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ ความต้องการปัจจัยสี่ ความต้องการอย่างสามเหลี่ยมมาสโลว ความต้องการอย่างตัณหา ความไม่ต้องการอย่างวิภวตัณหา ผนวกกับความ ‘เจนจัด’ในการรู้คนสืบประวัติ กะเก็งวางแผนการเข้าถึง ชุมโจรทั้งสามก๊กที่อาละวาดอยู่ วางแผนให้มาพบกับท่านในสถานที่เปนกลาง 

ต่อไปนี้เปนดีเทลการทำงานของท่านที่สำคัญยิ่งกว่าวิชา pitching ที่สอนกันให้เกร่อไปในโลก start up สมัยนี้ โปรดดูบันทึกวันระทึกจากปากคำหลวงพ่อให้ไว้
 
หลวงพ่อตกลงกับชาวบ้านว่าจะไปเจรจากับโจรว่าหมู่บ้านนี้ยินยอมจะส่งเสบียงอาหารให้โจร หมดเมื่อใดให้บอกมาได้ ชาวบ้านจะขนไปส่งให้ขอเพียงอย่ามาทำทารุณชาวบ้านเท่านั้น สมัยนั้นพวกโจรมีประมาณ ๕00-๖00 คน อยู่กันคนละตำบล ที่โด่งดังนั้นมีอยู่ ๓ ชุมโจร คือ กลุ่มนายชานเพ เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด อยู่ตำบลเกลาสะ, กลุ่มนายโจปี้ อยู่ตำบลตะไลอ่องและ กลุ่มนายตองชู อยู่ตำบลตูเร
 
ท่านได้เขียนหนังสือนัดหัวหน้า โจรทั้งสามก๊ก ให้มาพบท่านที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงในป่าดงดิบชื่อบ้านเกลาะลอด ท่านว่านัดที่นี่ปลอดภัยดีเพราะเป็นหมู่บ้านร้าง กะเหรี่ยงหนีไปหมดแล้ว ท่านเดินทางไป ๒ วัน ไปรออยู่ที่กระต๊อบของกะเหรี่ยง 

หัวหน้าโจรทั้งสามก็มาพบตามนัด ท่านเรียกแต่ละคนว่าอาจารย์เพื่อเป็นการให้เกียรติและเปิดการเจรจาว่า
 
“อย่าไปปล้นชาวบ้านเลย หมู่บ้านไหนก็กลัวทั้งนั้น ทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะกลัวประกาศปล้น ก๊กโน้นปล้นแล้วก๊กนี้ก็ปล้นอีก”
 
โจรตอบว่า “จะให้ทำอย่างไรล่ะ ข้าวไม่มีจะกินนี่”
 
หลวงพ่อว่า “จะเอากี่กระสอบก็ได้ ให้ทั้ง ๓ ก๊ก จะเอาะไรก็ให้มาขอเรา เราจะให้ชาวบ้านแบกไปให้ ขอแค่อย่าฆ่าคนส่งของเท่านั้น ขอให้หมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านพี่เลี้ยงไปเถอะ”
 
หลวงพ่อจึงเริ่มเรี่ยไรข้าวปลาอาหารให้โจร ด้วยวิธีนี้ชาวบ้านก็อยู่มาได้อย่างสงบสุขพอสมควรคนที่ไปเดินป่าก็ไม่ถูกปล้นหรือเรียกค่าไถ่ ท่านอธิบายว่า -ใครจะดุอย่างไร เราอ่อนเข้าไปหา ยอมแพ้เสียแล้วเขาก็ไม่ทำอะไรเรา-


 
พวกที่ส่งเสบียงให้โจรก็กลายเป็นมิตรกับโจร บางครั้งโจรไปปล้นหมู่บ้านอื่นได้เสื้อได้โสร่งมาก็เอามาแบ่งให้ ทำให้พวกที่ไปส่งของบางคนติดใจ อยากจะไปอยู่กับพวกโจรก็มี หลวงพ่อต้องเรียกตัวกลับมา
 
โจรทั้ง ๓ ก๊กนี้มีชื่อเสียงว่าคงกระพันชาตรี เพราะได้อาจารย์ดีเป็นขมุมาจากเมืองไทย แต่หากจะเจาะลึกลงไปในความละเอียดแยบคาย ก็จะพบว่า ท่านใช้ความช่ำชองและเจนจัดของวิชาฝ่ายโลก เท่านั้นหรือ ก็หามิได้ ท่านได้ใช้ความแม่นยำและมุ่งมั่นจะสงเคราะห์ผู้ยากของวิชาฝ่ายธรรมประกอบเข้าไปด้วย ทั้งการอ้างอานุภาพพระรัตนตรัย การเดินจิตตกประคำ การแผ่เมตตา การเลือกหามนต์ปริตรที่เหมาะแก่การณ์ ฯลฯ ดังท่านเล่าเบื้องหลังวันพบเหล่าโจร (behind the scene) ดังนี้ (เวลานั้นท่านอายุ 31 ปี พรรษาที่ 10)
 
“หลวงพ่อไม่มีอะไรมีแต่พระพุทธคุณ ท่านว่าตอนเดินทางไปเจรจากับโจร ท่านเดินนับลูกประคำสวดมหาสมัยสูตรใหญ่และธรรมจักกัปปวัตนสูตร เดินไปแผ่เมตตาไปตลอดทาง ด้วยอำนาจพระพุทธคุณนี้พวกโจรจึงใจอ่อน”
 
เมื่อได้ถามหลวงพ่อว่าท่านมีคาถาอาคมอะไรไว้ป้องกันตัวบ้างหรือไม่ ในการเดินทางไปเจรจากับโจร ?
 
หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อครั้งจำพรรษาที่วัดเกลาสะ พระอุปัชฌาย์ได้นำตำราต่างๆ มาสอน เช่น ตำรายาสมุนไพร ตำราไสยศาสตร์ คาถาไล่ผีและคาถารักษาสารพัดโรค ท่านก็เรียนไปด้วยความไม่ค่อยเชื่อถือเท่าใดนัก แต่ได้นำมาใช้เมื่ออยู่เมืองไทยแล้ว ตอนไปดงโจร ท่านสวดแผ่เมตตาให้แก่โจรเท่านั้น แต่ท่านมั่นใจว่าท่านจะต้องทำงานสำเร็จเพราะโจรยอมมาพบท่านแล้ว... นี่!


 
สิบปีมานี้ ประดามหาวิทยาโลก มหาวิทยาลัย นิยมและพยายาม สร้างหลักสูตรแบบว่า leadership -ผู้นำ ด้วยความหวังไขว่คว้าปรารถนาพาตัวตน_ผู้เรียนไต่ขึ้นที่สูง อนิจจา_ปลอมปลอก_ปลอมหนึ่ง ด้วยนิยามความหมายว่าผู้นำนั้นอยู่ในที่สูงและนั่งอยู่บนหัวของผู้ตาม 55_ปลอมสอง ด้วยหลอกให้เขวว่า คนนั้นๆอย่างว่ามีฐานรากเปนผู้ดีเนื้อทองอยู่แล้ว ถือว่ายังไม่ดี จะต้องไปชุบทองเคซ้ำๆเข้าไปอีก ในนิยามความหมายผลิตผู้ดีเนื้อทองกะไหล่ทองออกสู่ตลาด แต่แท้จริงสร้างรายได้เปนกอบเปน กำแก่คนหลอกสอน
 
ผู้นำเนื้อทองคำจะกะไหล่ทองช้ำไปอีกทำไม ในเมื่อเขา/เธอมีใจแผ้ว ผ่องเนื้อนพคุณสมบูรณ์แท้ มันต้องหาเพชรมาล้อมทองเขาซี่ หาไม่ได้ก็ต้องหาน้ำยามาช่วยเขาขัดทองหมองให้ส่องประกายวาววาม จะไปชุบทองเก๊ซ้ำซากทำไม?!?
 
การณ์จะแก้ความปลอมนี้อย่างไร? ในภาวะผู้นำ
 
แก้หนึ่ง ด้วยนิยามความหมาย ผู้นำไม่นั่งบนหัวคน_เขา/เธอ นั่งในใจ เขา/เธอแบกภาระ accountability ในความหมายหนักกว่า responsibility และกว้างกว่า transparency
 
แก้สอง ด้วยศึกษาหาดูว่า ผู้นำตามธรรมชาติ_Natural Leader -คนอย่างที่เปนทองเนื้อเก้าสุกใสเขามีธรรมชาติอย่างไร เมื่อเปนผู้นำตามธรรมชาติ คิดอย่างไร ทำอย่างไร ในบริบทต่างๆ ดัง มาริโอ้ พูโซ่ ว่า Great men are not born great. They grow great.
 
ดูอย่างท่านผู้สำเร็จวิชาสมภารผู้นี้เทอญ ปรหิตประโยชน์ทำมากกว่า อัตตาหิตประโยชน์มีคุณค่าภายในและกระทำคุณค่านั้นไปเพื่อประโยชน์แต่ผู้อื่นจะเห็นว่าตบะเดชะวิชาธรรมนั้นนับเนื่องมาแต่บุพกุศลร้อยแปดที่ท่านสละตนสั่งสมสร้างมาด้วยความเชื่อมั่นในหลักพระธรรมคำสอนไม่คลอนแคลนเปนองค์ประกอบที่สำคัญมาก ไม่น้อยไปกว่าวิชาทางธรรมลึกลับอันอาจกล่าวได้ว่าเปนวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งภาคฝ่ายธรรมนี้ ที่ถ้าท่านเองไม่เคยสั่งสมเอาไว้จะไม่สามารถอาศัยความสามารถฝ่ายโลกเพียงลำพังจัดการกับปัญหาวิกฤตได้เลย

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 หน้า 18 ฉบับที่ 3,929 วันที่ 8 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2566