JKN รอได้...ไม่ต้องรีบ!

20 ก.ย. 2566 | 04:04 น.
898

JKN รอได้...ไม่ต้องรีบ! คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ดูเหมือนว่า JKN ของ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” จะยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องของหุ้นกู้รุ่น JKN239A ไปจนกว่าจะถึงเวลา 14.00 น. ของวันที่ 27 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นวันที่จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้สำหรับหุ้นกู้รุ่น JKN239A ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

และนั่นก็หมายความตรงตัวว่า จนถึงตอนนี้เงินต้น และ ดอกเบี้ยของหุ้นกู้รุ่น JKN239A ที่ยังค้างชำระจำนวน 443,400,000 บาท ก็ยังไม่มีทางออกอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแนวทางของข้อเสนอ ที่จะขอให้ผู้ถือหุ้นกู้พิจารณาอนุมัติการขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้รุ่น JKN239A จากวันที่ 1 กันยายน 2566 ไปเป็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 รวมถึงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย จากอัตราร้อยละ 0.40 ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยเดิมร้อยละ 6.60 ต่อปี เป็นร้อยละ 7.00 ต่อปี 

ขณะเดียวกัน ก็จะขอหารือร่วมกับผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อกำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นกู้อีก 6 รุ่น เพื่อพิจารณาการขอผ่อนผันให้เหตุผิดนัดตามข้อกําหนดสิทธิไม่ถือเป็นเหตุผิดนัด ตามข้อกําหนดสิทธิของหุ้นกู้ และไม่เรียกชําระหนี้ตามหุ้นกู้โดยพลัน (Call Default) 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีข่าวทาง JKN จะขายหุ้นของช่อง JKN18 ในสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนชําระแล้ว ให้กับ TOPNEWS เพื่อนำเงินที่ได้มาเสริมสภาพคล่อง จนเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของ JKN เกิดอาการ “ศพกระตุก” ในช่วงเวลาไม่กี่วัน ก่อนที่ทาง JKN จะร่อนแถลงการณ์ออกมาว่า ไม่ได้ขาย...แต่เป็นการบรรลุข้อตกลง “ในการร่วมผลิตรายการประเภทรายการข่าวสาร และสาระระหว่าง JKNBL และ Top News เพื่อออกอากาศทางช่อง JKN18 เพียงเท่านั้นเอง” 

ดังนั้น ถ้าหากจะมีใครที่อยากจะเป็น “ชาวสวน” เพราะชอบหุ้นเสี่ยงหรือ หุ้นซิ่ง เรื่องนี้เจ๊เมาธ์ก็คงไม่สามารถที่จะห้าม หรือจะไปขวางอะไรได้ แต่ถ้าสำหรับนักลงทุนทั่วไป เจ๊เมาธ์ก็ขอแนะนำว่า ให้ดูกันไปเรื่อยๆ เพราะของร้อนแบบนี้ ถ้ารีบรับมาแล้วอาจจะทำให้มือพองได้เจ้าค่ะ อิอิอิ
     
*** ส่วนกระแสข่าวที่ว่ากันว่า มีคำพูดหลุดออกมาว่า “บริษัทนี้ผมใหญ่ที่สุด...ใครจะทำอะไรต้องผ่านผม” หลุดออกมาจากปากของนายทหารคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นทั้งผู้ถือหุ้น และไม่ได้มีตำแหน่งในการบริหาร จนตีความดูเหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณว่า บริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่าง GUNKUL กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในครั้งใหญ่อย่างรุนแรง แรง...ถึงขนาดที่ทำให้คนเก่าแก่หลายคนอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าแต่ว่าสัญญาณนี้จะเป็นผลดีหรือร้าย.... 
 
อย่างหนึ่งคือ กระแสทางการเมืองที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงกระแสสังคมในหมู่คนรุ่นใหม่ของประเทศจำนวนมากที่มีความรู้สึก “ไม่ดี” กับทหารโดยรวม ...ทั้งที่มีทหารไม่กี่คนเข้าไปยุ่งกับหน่วยงานอื่น นอกเหนือไปจากงานในกรมกองที่ตนสังกัดอยู่ และเรื่องนี้อาจส่งผลเสียหายกับความเชื่อมั่น ที่มีต่อ “สถาบันทหาร” ซึ่งกำลังใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของการเป็น “ทหารมืออาชีพ” อย่างตั้งอกตั้งใจ 
     
อย่างที่สองคือ หากมีการเข้ามายุ่งกับระบบการบริหารงานของ GUNKUL จน “ล้ำหน้า” ของนายทหารรายนี้ อาจจะเป็นผลร้าย หรือถึงกับทำลายบริษัทมากกว่าผลได้นิดหน่อย ที่อาจได้มาจากคอนเนคชั่นเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะตามเข้ามา เพราะถ้าภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหาย อาจมีผลทำให้โอกาสที่บริษัทจะได้งานดีๆ หรืองานใหม่ๆ เข้ามาแบบที่เคยเป็น อาจจะไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป 
 
อย่างที่สามคือ การที่ GUNKUL เป็นบริษัทระดับหมื่นล้าน ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีภาพลักษณ์ในการเป็นบริษัทที่มี “ธรรมาภิบาล” ที่สูงมาก และการมีธรรมาภิบาลที่ว่านี้ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเชื่อมั่นบริษัทแห่งนี้ “ดี” และมีอนาคตจนกล้าลงทุนด้วย 

ดังนั้น หากมีปัญหาแบบนี้ ทำให้ระบบภายในปั่นป่วน เรื่องนี้ก็อาจส่งผลกระทบกับนักลงทุน และราคาหุ้นของบริษัทได้เช่นกัน

ที่เจ๊เมาธ์พยายามแยกแยะผลดีผลเสียให้เห็นนั้น ก็เป็นเพราะว่าเจ๊เป็นห่วง บอกเลยว่า “เกมชิงอำนาจภายใน” ไม่ควรส่งผลกระทบสู่ภายนอก ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่แค่ไหน ผลกระทบที่ตามมาก็จะยิ่งมากเป็นเงาตามตัว ก็คงได้แต่หวังและภาวนาให้บริษัทที่เจ๊ชื่นชมแห่งนี้ ผ่านพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปด้วยดี...สิ่งที่เจ๊ทำได้ก็มีแค่นี้เองเจ้าค่ะ

*** หลังจากที่ผ่านยุคทองของค่าระวางเรือ (BDI) ในช่วงปี 2563-64 ทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มเรือสินค้าเทกองอย่าง RCL PSL และ TTA ต่างก็ถูกดันราคาขึ้นมาสูงมาก จนล่าสุดเมื่อค่าระวางเรือปรับราคาขึ้นมาสูงสุดในรอบกว่า 4 เดือน ทำให้ราคาหุ้นของทั้ง RCL PSL และ TTA จะเริ่มปรับราคาขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งหากจะเทียบความน่าสนใจของหุ้นทั้ง 3 จากสิ่งที่เคยทำก็จะเห็นได้ว่า ในส่วนของ RCL ถึงแม้ว่าจะมีค่าพีอีที่ต่ำมาก รวมไปถึงผลการดำเนินงานดีกว่า แต่ด้วยความที่ RCL เป็นหุ้นขนาดใหญ่ จึงทำให้การดันราคาหุ้นทำได้ยาก ดังนั้นหากจะหวังให้ราคาหุ้นของ RCL ขยับตัวไปได้เร็วจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก 
     
ส่วนทางด้านหุ้นที่เหลืออย่าง PSL และ TTA กลับดูเหมือนจะต่างออกไป เนื่องจากมีขนาดที่ไม่ใหญ่นักทำให้ทั้ง PSL และ TTA ถูกดันราคาขึ้นได้ง่ายกว่านั่นเอง แต่หากเทียบกันด้วยผลการดำเนินงาน กลับพบว่าในไตรมาส 2/66 ทางด้านของ TTA ได้เปรียบกว่า เนื่องจากกำไรโตขึ้นถึง 193% ในขณะที่ทางด้าน PSL กลับมีกำไรลดลงถึง 83% 
     
อย่างไรก็ตาม ทั้ง PSL และ TTA ต่างก็ถือได้ว่าเป็นหุ้นขาซิ่งที่เคยฝากชื่อ สร้างเกียรติประวัติเอาไว้ทั้งคู่ ดังนั้นถ้าจะให้เจ๊เมาธ์ชี้ชัดลงไปว่าตัวไหนดีกว่า น่าจะไม่เป็นธรรมกับหุ้นทั้งสอง แต่ถ้าหากชอบก็อย่าลืมล็อคกำไรเป็นเงินสดเอาไว้ด้วย...ของแบบนี้มันไม่แน่เจ้าค่ะ 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,924 วันที่ 21 - 23 กันยายน พ.ศ. 2566