ทหารม้ากระพรวนทอง&ตามตะเบงชะเวตี้ไปเจาะหู

24 มิ.ย. 2566 | 11:50 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2566 | 15:08 น.
546

คอลัมน์ Cat out of the box ทหารม้ากระพรวนทอง&ตามตะเบงชะเวตี้ไปเจาะหู โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

ดังได้เล่าสู่ท่านฟังไว้แล้วในตอนม่านพม่า รามัญมอญ ทั้งตอน 1 และ ตอน 2 ว่าแดนพม่าแดนมอญนั้นเคยแยกกันแล้วก็เคยรวมกันเปนพลวัต_Dynamics เปลี่ยนแปรไปมา ทว่าอย่างไรก็ดีกลับมีจุดรวมใจกันอยู่ที่พระมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงหงสาฯ คือ พระมหาธาตุมุเตา (แปลว่าจมูกร้อน) ส่งนิยามความหมาย ใหญ่โตเสียจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่า จนจมูกถูกเปลวแดดเผาแผดเสียร้อน_มุเตา ดังนี้

อันพระมหาเจดีย์ทององค์นี้บรมขัตติยะกษัตริย์เช่นตะเบงชะเวตี้มีความนับถือศรัทธายิ่งนักมาแต่วัยกำดัด สู้อุตสาหะพาทหารแค่ห้าร้อยบุกเข้าเหยียบแดนมอญหักด่านทหารมอญป้องกันหลายด่านเพื่อมาทำพิธีเจาะพระกรรณใส่ตุ้มหู สำแดงความเติบโตจำเริญวัยเปนผู้ใหญ่ที่ลานพระมหาเจดีย์แห่งนี้

มาบัดนี้ก็ได้เวลาพาท่านไปเก็บตกรายละเอียดเหตุการณ์ในวันเวลาดังว่าดังกล่าวด้วยข้อเขียนดั้งเดิม...ข่าวมาว่าช่วงนี้ทหารตำรวจออกมาฟิตซ้อมทดสอบร่างกายกันอย่างตื่นตัว พอดีกันกับหลังจากออนไลน์เรื่องพม่ารามัญเกี่ยวแก่พระเจ้าหงสาวดีลิ้นดำตะเบงชเวตี้มีกองทหารรักษาพระองค์เกรียงไกร เมื่อยังเยาว์วัยเสด็จออกไปเจาะพระกรรณ ณ แดนมอญ ด้วยกำลังเพียง 500 หามีผู้ใดกล้าหาญต้านทาน ผู้อ่านก็ถามกันมาว่าอะไรยังไง? ก็จึงอนุญาตขอรวบรัดเล่าสู่ ว่าในอดีตกาลผ่านมา การมีทวยพยุหะโยธาทหารกล้าจะมาสู่พระบารมีต้องมืองค์ประกอบสองประการเพื่อส่งเสริมและเชิดชูพระเกียรติยศ คือว่า ต้องกล้าเก่งนั้นอย่างหนึ่ง พร้อมกันนั้น งามสง่าก็อีกอย่างหนึ่ง เปนเรื่องซึ่งสำคัญนัก
 

กระบวนการคัดทหารรักษาพระองค์ของตะเบ็งชะเวตี้เจ้าชายตองอูลิ้นดำ เพื่อนพม่าที่ศึกษาตำนานเขาเล่ามาให้ฟังว่าเริ่มอย่างนี้

1. นำผู้ใกล้ชิดลักษณะดี-อย่างที่คนไทยเรียกว่า “งามวงศ์วาน” มาเลือกดูเสียก่อน เพื่อได้ทีมที่มีระบบแรงจูงใจสอดคล้องกัน ถ้ารักษาองค์ไม่ดี มีปฏิวัติ ลาภยศสักการก็สูญวับหายตามไปด้วย

2. ลักษณะดีที่ว่านี้-คือต้องมีขนาดตัวเท่าๆกัน ไม่สูงต่ำต่างกันมากนัก ยามเดินแชงเสด็จรับเสด็จส่งเสด็จจะได้ดูงามสมกัน ไม่กระโดดกระเดก ใครที่ผิดไปจากนี้ทว่ามีคุณสมบัติอื่นครบ ก็ย้ายไปสังกัดหน่วยอื่นไปก่อน ทำงานถวายแบบเสริมกำลังพิเศษ ก็ได้ แต่ไม่ต้องรวมหมู่ใกล้ชิด

3.ทดสอบความสามารถ-กระบวนการ training คงจะมีพื้นฐานจากสำนักวิชาต่อสู้รบพุ่ง คุมม้า ควบช้าง กันมาอยู่แล้วครูพระสอนมั่ง (โดยมาก เปนทหารเก่าไปบวชพระ) ครูฤๅษีสอนมั่ง (โดยมากเปนครูพระคนเดิมนั่นแหละ แต่ศีลพระเยอะไปเลยลาเพศมาเปนฤาษี-ซึ่งพม่ามีเยอะ) ครูฆราวาสอนมั่ง ก็ว่ากันไป แต่ด่านสำคัญในการทดสอบความต่างระหว่างทหารทั่วไปกับทหารรักษาพระองค์ อยู่ที่ 3.1 นายด่านจะจับมัดไว้หลวมๆ แล้วใช้ค้อนยักษ์ทุบเข้าให้ หลายๆอั้ก ถ้าว่าร้องขึ้นสักแอะก็จบกัน ว่ากันว่าโดยมากจะร้องตอนโดนทุบเข้าที่นิ้วเท้า (งานนี้ถ้าว่ามีเส้น นายด่านอาจจะทุบเบาะๆเอาก็เปนได้55)

3.2 ผ่านด่านแรกแล้ว นายด่านที่สองจะใช้เข็มทองตอกเข้าไปในเล็บมือไม่ใช่ตอกแนวฉาก เข็มผ่านอากาศแล้วโดนเล็บทะลุลงนิ้วมือเมื่อไหร่กัน เขาตอกแนวนอนแทรกเข้าไประหว่างรอยต่อของเล็บกับนิ้วโอ้ว งานนี้ถ้าร้องหรือ ออกอาการ จบกัน อดทนหน่อยนะ เขาไม่ตอกเล็บเดียว ตอกแปดเล็บ! ผ่านด่านทดสอบกำลังใจเหล่านี้แล้ว ก็ได้บรรจุเปนทหารรักษาพระองค์มีลักษณะพิเศษคือได้รับพระราชทานเครื่องยศเปนกระพรวนทองคำเอาผูกไว้ที่ข้อเท้าม้า!!

ยามเข้ากระบวนพยุหะ_ยาตราแซงเสด็จเสียงกระพรวน กรุ่งๆ จะดังก้อง ข่มขวัญผู้แว่วยินชะงัดนัก (ลองสัก 500 ม้า คูณ 4 กระพรวน เปนสองพัน คูณข้างละอีกสี่ เปน แปดพันดูที) อันว่ากระพรวนนี้ในทางคติชนวิทยาไม่ว่าจะเปนชานต้าคลอส หรือทหารม้าตองอู นับถือว่าเปนเครื่องขับไล่ของ/ ความชั่วร้าย คลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนเลื่อนไปในอากาศพยับโพยม มีอำนาจลึกลับดังนั้น

พงศาวดารพม่าฉบับเก่าๆระบุว่า คราวไปเจาะพระกรรณที่พระมหาธาตุมุเตานั้น “ขบวนงดงามราวกับท้าวสักกะเทวราชแวดล้อมด้วยเหล่าเทวดาทวยหาญเสด็จออกจากพระตำหนักอยุชฌบุรินทร์ดาวดึงส์เตรียมปราบอสุรข้าศึกฉะนั้นบุเรงนองพระพี่ยาอยู่หน้าเชิญพระแสงดาบพลอยแดงสีดาลั้วะ ตามหลังมีพราหมณ์คู่ 4 แปดคน อำมาตย์ 40 พระราชกุมารสุวรรณเอกฉัตร ตะเบงชเวตี้ ทรงม้าขาวหมอกพระที่นั่งสัตตรุไชย แซงเสด็จด้วยทหารม้กระพรวนทองรักษาพระองค์ 500 นาย เสด็จออกจากประตูเมืองเกตุมวดีทางทิศใต้”

แต่อีกสำนวน (ตกลูกประคำเข้าญาณฝ่ายอตีตังเห็นภาพแล้วแปลเปนไทยเอาเอง ให้ภาพชัดกว่า) ว่า “เพลานั้นเจ้าราชบุตรมังตรามีชนมายุได้ครบสิบห้าปี กำลังอยู่ในวัยคึกหาญพระวรกายสันทัด อุระตัน อังสาลาด พระฉวีเข้มดั่งสีเมล็ดกาแฟต้องไฟ กรามขบเด่นเปนสันนูน พระขนงได้รูป ริมพระโอษฐ์แดงหนา ทว่ากระชับทรงอย่างกระจับ มีพระราชปณิธานแรงกล้าจักไปประกอบพระราชพิธีมงคลเจาะพระกรรณและมุ่นมวยผมที่พระมหาเจดีย์แดนมอญชเวม่อดอว์ จึงมีพระดำรัสตรัสสั่งแก่ปวงเสนาพฤฒามาตย์เจ้ากรมอัศวชาติ พราหมณ์มุนี กับพระเชษฐาร่วมสาบาน ในการพระราชดำริครั้งนั้น
 

ครั้งได้เพลาอันเปนมงคลศุภฤกษ์จึงยกพลอัศวราชทหารม้ารักษาพระองค์ห้าร้อยคัดเอาแต่ทหารหนุ่มรุ่นฉกรรจ์ลักษณะดี มีท่วงทีองอาจ แต่งกายสีฉาดตามหมู่หมวดเปนชาติเชื้อต่างๆกันหากมีรูปโฉมโนมพรรณสะคราญเปนที่เสริมสานพระบรมราชบารมีให้แผ่ไพศาลโปรดเกล้าฯให้ติดคอขาม้าศึกทั้งนั้นด้วยกระพรวนทองคำอันพันไว้กับไหมแดงลื่นระยับปลายทวนเสริมภู่ขาว ทั้งกองดาษไสวไปด้วยธงทิวเขียวเหลืองแดง จึงพระองค์เองทรงฉลองพระองค์เครื่องสุวรรณอลงกตประทับควบขับตฤณชาติโปร่งกำยำนามสัตตรุไชย สีกายราวหมอกเมฆ เปนม้าสง่าเพิ่งพ้นวัยกำดัด (galant) เผ่นโผนมหาดเล็กราชวัลลภสวมเกราะศึกกั้นสัปทนเข้ากระบวนอิสริยะยศประกอบธงชัยมยุระ แลธงฉานบุเรงนองพระพี่ยาเปนแม่กองหน้าถือดาบฝังพลอยพระเจ้าสีดาสั้วะ นำพราหมณ์ปุโรหิตแปด อำมาตย์เสนา สี่สิบ ห้อมล้อมยุวกษัตริย์ผู้ทรงเดชานุภาพ เสียงกระพรวนทองคำดังเปนจังหวะก้องกราวเกรียวอยู่ในสายลมยามเมื่อเคลื่อนพยุหยาตราอย่างสง่าผ่าเผยออกจากประตูทิศใต้เกตุมวดีตองอูพระมหานคร”

นี่! ฉากมันต้องอลังการเพียงนี้!! ครั้นเสด็จเหยาะย่างถึงเขตแดนหงสาวดี กองทหารรักษาด่านเห็นทัพเกียรติยศนี้ก็เกิดตกประหวั่นพรั่งพรึง จะเปนด้วยอึ้งในความงามยุรยาตร หรือ ตกนะจังงังกับเสียงหึ่มกระพรวนทองกองทหารพระอินทราธิราชก็เหลือจะเดากระโดดหลบเอาตัวรอดไปหมดสิ้น ลุถึงชานพระมหาเจดีย์มุเตาจมูกร้อน กองทหารม้ากระพรวนทองก็เข้าจุกช่องล้อมฐานพระเจดีย์ป้องกันมิให้ผู้ให้ล่วงเข้าการพระราชพิธีเจาะพระกรรณแสดงความเปนผู้ใหญ่ mature ของเจ้านายหนุ่มเหนือหัวได้

พระเจ้าสักการวุตะปี เจ้าอาณาจักรมอญ ทราบพระเนตรพระกรรณว่า เจ้าชายตองอูเสด็จมาเหยียบพระจมูกถึงที่ แทนที่จะเสด็จออกกำราบเยาวชนกำตัด ตามธรรมเนียมกษัตริย์กีฬากลับดำรัสตรัสสั่งให้ราชองครักษ์สองคน ชื่อพระยาลอกับพระยาเกียน คุมกำลังไปกุมตัวเจ้าชายลิ้นดำ

สองพระยาคุมกำลังมอญมาถึงเชิงพระเจดีย์เจอเหล่าทหารเทวดายั้งม้ากระพรวนทองเขย่าขากรุ๊งกริ๊งอยู่ ก็ได้แต่คุมเชิงไว้มีกล้าเข้าไปในเขตพุทธสีมา พราหมณ์ปุโรหิตตองอูที่ว่าแน่ๆ เห็นการณ์ออกที่คับขันทัพรามัญคืบมาถึงล้อมวงดังนั้นอันมือชราถือเข็มเหล็กจะประคองเจาะหูเยาวชนลิ้นดำก็สั่นเทาหวาดหวั่นฃ

เจ้าสุวรรณเอกฉัตรฝีปากหนาเห็นดังนั้นดำรัสว่า “ดีๆ_ทำดีๆ หูของเราสำคัญกว่าพวกนั้น”

ครั้นปุโรหิตได้สติกุมเกาะเจาะพระกรรณจนสำเร็จ_ติดพระกุณฑลทองเนื้อเก้าแล้ว เหล่าบริวารก้มลงกราบพระบาท mature ด้วยการเปลี่ยนผ่านแห่งวัยได้สำเร็จเสร็จสิ้นลง
 


พระเจ้าตะเบงชเวตี้ ยอพระกร ก้มกราบอธิษฐานต่อองค์พระมหาเจดีย์เปนสัจจะเดชะ-determination-เสด็จขึ้นม้าสัตตรุไชย ชักพระแสงดาบสีดาลั้วะขึ้นเปลือยฝัก ออกพระราชโองการเปนภาษาตองอูว่า 

“เราคือตะเบงชเวตี้ แห่งเกตุมวดีศรีตองอู ผู้ใดเล่าจักต้านทานบารมีแห่งเราได้”

แล้วอัศวชาติพญาม้านั้นก็โลดแล่นเผ่นโผนนำว่าที่กษัตริย์พม่ารามัญ ตีฝ่าวงล้อมมอญหงสาวดีเสด็จกลับพระนครเกตุมวดีตองอู อย่างมิมีผู้ใดทัดทาน

เครดิตภาพตะเบงชะเวตี้สวมกุณฑลตุ้มหูจาก ภาพยนต์ สุริโยทัย ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล
 
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ  ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,899 วันที่ 25 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2566