สิ่งที่ผู้สูงอายุพึงต้องระวัง

08 ม.ค. 2565 | 07:00 น.
3.5 k

คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปท่องเที่ยวเหมือนเช่นทุกๆ ปี เหตุที่ไม่กล้าที่จะเดินทาง ไม่ได้หวาดกลัวเรื่องของโอมิครอนที่กำลังมีปัญหาสักเท่าใดหรอกครับ แต่เป็นเพราะเรารู้สึกตัวว่าตัวเราเองแก่แล้วต่างหากครับ เพราะเริ่มที่จะมีเรื่องของสุขภาพของคนใกล้ตัวหลายๆ คน ที่มีปัญหาให้เห็นมากขึ้นทุกวัน 


ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติๆ หลายคน ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลกันเป็นว่าเล่น ทำให้เราต้องย้อนดูตัวเราเองบ้าง เพราะนี่ก็ล่วงเลยเข้าสู่ปีที่หกสิบแปดแล้ว แม้หน้าตาจะยังพอไปวัดไปวาได้ แต่สภาพร่างกายเราก็เริ่มรู้ตัวเราแล้วครับ

สิ่งแรกทำให้รู้สึกตัว คือการที่เราเคยอ่านหนังสือหรือเขียนหนังสือ ไม่เคยต้องใช้แว่นตาเลย ก็เริ่มที่จะเลือนลางเล็กน้อย ต้องหาแว่นตามาใส่บ้างแล้ว ในอดีตใส่แว่นตาเพราะนึกว่าเท่ห์ แต่ตอนนี้ตัวอักษรมันลางๆ จริงๆ แล้วครับ เรื่องต่อมาก็จากที่เคยเดินทางหรือเดินเหินไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ก็เริ่มที่จะปวดขาปวดน่องไปหมด บางคนอาจจะคิดว่า “เฮ้ย...คิดไปเองหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติ” แต่ตัวเราเองก็ต้องรู้จักสังเกตุตัวเราแล้วละครับ ว่าไม่ปกติจริงๆ ไม่ได้มโนฯ ไปเองนะครับ 


ต่อมาก็เรื่องเวลาที่เป็นแผลที่เกิดจากการหกล้ม เมื่อก่อนจะใช้เวลาไม่กี่วัน ใส่ยาหรือกินยาก็หายได้ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วละครับ บางครั้งต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ กินยาก็แล้ว ใส่ยาก็แล้ว ไม่หายสักทีครับ เลยคิดไปว่าหรือเราแก่แล้วจริงๆ
 

ผมเป็นคนที่ทานอาหารเร็วมาก เป็นเพราะว่าในสมัยที่เรียนอยู่บนดอยแม่สะลอง ใช้ชีวิตเป็นนักเรียนประจำที่นั่น ที่จริงเรียกให้เพราะๆ ว่านักเรียนประจำ แต่ความเป็นจริงคือต้องเดินขึ้นเขาไปหกชั่วโมง กว่าจะถึงโรงเรียน ดังนั้นพอไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ประจำก็ต้องประจำละครับ เพราะไม่สามารถที่จะไปกลับได้อยู่แล้ว เพราะเป็นไฟท์บังคับที่ต้องพักอยู่รวมกันที่นั่นหมดทุกคน 


เวลาทานอาหารก็มีให้ทานวันละสองมื้อเท่านั้น คืออาหารเช้าตอนเก้าโมงเช้า อาหารเย็นก็บ่ายสามโมง อีกทั้งจะมีอาหารเพียงสี่อย่าง โดยจะมีอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมหนึ่งอย่าง ถั่วลิสงหรือผักกาดดองหนึ่งอย่าง ที่เหลือสองอย่างก็เป็นผัดผัก นักเรียนต้องนั่งกันโต๊ะละแปดคน พอนั่งครบต้องรอให้หัวหน้านักเรียนเป่านกหวีดแล้วตะโกนว่า “เริ่มต้นได้” จึงสามารถแย่งกันจ้วงอาหารบนโต๊ะกัน ทำให้เคยชินในการทานเร็ว เพราะถ้าทานช้าวันนั้นทั้งวันก็อดกันพอดี จึงเป็นการติดนิสัยทานอาหารช้าไม่เป็น 

 

แต่พออายุมากแล้ว ชักจะไม่ไหวแล้วละครับ สองสามปีมานี้ เวลาทานอาหารเร็วก็จะทำให้ติดคอ เหมือนกลืนอาหารไม่ค่อยลง หรือบางครั้งจะมีอาการเหมือนกรดไหลย้อน กลางคืนจะทรมานมาก ดังนั้นจึงต้องลดสปีดลงไปเยอะเลยครับ นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เรารู้ตัวว่าแก่แล้วไงครับ
      

สิ่งที่อยากทำในช่วงนี้ คือการได้นิ่งๆ อยู่กับบ้าน ไม่ต้องกังวลเรื่องโน่น นี่ นั่น ในขณะที่ช่วงก่อนหน้านั้น เราอยากจะออกไปหาอะไรทานนอกบ้าน อยากจะไปเที่ยวทะเล อยากจะไปดูสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ใครที่ไหนบอกว่า ที่นั่นที่นี่สวย เราก็อยากที่จะออกไปเห็นกับตา พูดง่ายๆ ก็คืออยากเที่ยวนั่นแหละครับ 


แต่พอมาวันนี้ หลังจากที่ภาวะโรคโควิดเข้ามาระบาดในบ้านเมืองของเรา ทำให้เราอยากจะอยู่ที่บ้าน แค่ทานอาหารง่ายๆ มีน้ำพริกสักถ้วย ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเก่าหรือเราใหม่ก็ไม่สนใจ ขอเพียงมีผักที่เราชอบ เช่น ผักหลากหลายชนิดรวก มะระขี้นก สะเดาที่มาทานกับน้ำพริกที่ไม่ใช่กับน้ำปลาหวาน เพราะทานหวานไม่ค่อยได้แล้ว ขอแค่ไม่ต้องอร่อยมากก็ได้  ก็เป็นที่เพียงพอแล้ว เหตุผลหลักๆคือ ..... สงสัยเราจะแก่เสียแล้วละครับ
  

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือแก่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องหาอาชีพอะไรที่ทำแล้วสามารถให้ลูกหลานสืบทอดต่อจากเราได้ แต่ไม่ต้องให้เป็นภาระกับเขานะครับ อย่าทำมากจนเกินไป เพราะถ้าเขาไม่รับหรือไม่ยอมสืบทอดต่อไป สักวันหนึ่งเขาอาจจะบ่นถึงเราว่า “ไม่รู้ว่าพ่อแม่เราทำไว้ทำไมเยอะแยะ เป็นภาระจัง!!! ” ก็จะกลายเป็นทุกข์ลาภสำหรับลูกหลานเสียเปล่าๆครับ 


แล้วควรหาเวลาเข้าไปโรงพยาบาลเช็คร่างกายเสียบ้าง อย่าปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรมแล้วถึงนึกขึ้นได้ ว่าทำไมเราไม่ทำก่อนหน้านี้นะ ก็จะสายเกินแก้แล้วครับ
  

โดยส่วนตัวผมเอง ผมได้เตรียมตัวว่า สักวันหนึ่งเมื่อวันนั้นมาถึง ผมจะไม่ให้เป็นภาระของลูกหลานผม เพราะผมเองได้เตรียมบ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮ้าส์” ไว้คอยรองรับตนเองไว้แล้ว ซึ่งสามารถที่จะรับเพื่อนๆ ที่มีอุดมการณ์หรือมีศีลเสมอกัน เข้ามาอยู่ด้วยกัน 


ซึ่งผมเชื่อว่าเราไปอยู่ในฐานะเจ้าของสถานที่ พนักงานคงจะมาดูแลเราอย่างดีเป็นพิเศษอยู่แล้ว นี่คือจุดแข็งของผม ไม่จำเป็นต้องไปหาสถานที่อยู่ใหม่ หรือไม่ต้องไปรบกวนหรือกวนใจลูกหลาน เราก็สามารถอยู่ได้ ซึ่งถ้ามีสถานที่ที่ดี ผมยังเชื่อต่อไปอีกว่า เราคงไม่โชคร้ายที่จะต้องเป็นมนุยษ์พืช ที่เสมือนต้นไม้ที่เฉา หรือเหี่ยวแห้งนอนรอคนมาคอยพลิกตัวให้เรา ถ้าจะต้องจากไป เราก็ขอนอนหลับสบายๆ แล้วจากไปเลย คงจะเป็นบุญไม่น้อยเลยละครับ