*** FED มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% โดยจะเพิ่มการปรับลดวงเงิน QE เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.2565 จากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถยุติการทำ QE ในเดือนมี.ค.2565 รวมถึงคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และจำนวน 2 ครั้งในปี 2566 และอีก 2 ครั้งในปี 2567
ซึ่งหากจะมองเป็นเรื่องดี นี่ก็คือโอกาสที่หุ้นธนาคารทั้งหลายของไทย เช่น SCB KBANK BBL TTB และ KTB สามารถปรับราคาขึ้นได้อีกครั้ง ส่วนในด้านที่เป็นเรื่องร้ายก็คือโอกาสเกิดปัญหาเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อของสหรัฐขยับขึ้นไปสูงที่สุดในรอบ 40 ปี ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมได้ก็อาจจะทำให้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินโลกอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เรื่องโอกาสในการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดจากเงินเฟ้อของโลกดูท่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ทำให้การกำหนดวิธีการแก้ไขและป้องกันทำได้ง่ายขึ้นกว่าอดีต ดังนั้นสำหรับเจ๊...เรื่องเงินเฟ้อไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่เจ๊จะห่วงมาก ก็คือ เป็นห่วงการเลือกลงทุนในหุ้นที่ชอบปั่นข่าวปั่นราคา...โดนหุ้นพวกนี้เข้าไป น่าจะเจ็บง่ายและเจ็บไวกว่าวิกฤติทางการเงินของโลกอีกเจ้าค่ะ
*** ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปว่าให้ระวัง JAS ของ “เสี่ยพิชญ์” เอาไว้ให้ดี...สุดท้ายก็ทุบแบบที่เจ๊เคยเตือนจนได้ เอาเป็นว่าการที่ราคาหุ้นของ JAS ขยับขึ้นในรอบนี้เป็นเพียงการไล่ราคาของ JTS ที่เป็นหุ้นลูกเท่านั้น และถ้าหากจะว่ากันในเรื่องของ JAS เองแล้วบอกได้เลยว่ายังไม่มีอะไร เอาแค่ 2 ปี ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานก็ยังขาดทุนไม่หยุด นี่ยังไม่รวมเรื่องของการขายโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วแล้วรับเป็นเงินก้อนเข้ามา และเงินที่ได้ก็เอามาแบ่งเป็นปันผลให้ผู้ถือหุ้นซึ่งมันน่าจะเป็นเกมดูดเงินแบบเห็นๆ ส่วนใครเป็นผู้ถือหุ้นที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็น่าจะรู้กันดี แต่เรื่องของเรื่องคือเมื่อขายของออกไป...แต่ว่าของยังจำเป็นต้องใช้งาน ดังนั้นจากเจ้าของจึงต้องกลายมาเป็นผู้เช่า แล้วแบบนี้จะเงินที่ไหนมาเป็นกำไร...และจะไม่ขาดทุนได้ยังไงกันค่ะ เอาเป็นว่าสำหรับเจ๊...นาทีนี้ JAS ยังดูไม่ดี คงต้องรอจนกว่าจะมีปัจจัยใหม่โน้นเลยนะคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะเจ้าค่ะ...อิอิอิ
*** กระซิบเรื่องของ PSG เอาไว้ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะหลังจากการก้าวขาเข้ามาของทุนใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้านที่ตอนนี้กระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดกำลังจะจบลงไปแล้ว หลังจากนี้ก็จะเป็นในส่วนของการเปิดโปรเจ็กต์งานใหญ่ที่จะทำให้ทั้งรายได้และกำไรของ PSG เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะสำหรับทุนข้ามชาติที่ว่านี้นอกจากจะมีโครงการขนาดใหญ่ที่ยังอุบเอาไว้...ยังมีสายสัมพันธ์กับทางภาครัฐของประเทศเพื่อนบ้านในระดับที่ไม่ธรรมดา เอาแค่ถ้าจะมีใครไปรับงานใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้านก็จำเป็นที่จะต้องผ่าน...หรือ ต้องให้ทาง PSG ก็เท่านั้นเองค่ะ ถ้าอยากรู้อีกก็ติดตามได้นะคะ เจ๊จะมาเล่าเรื่องของ PSG ให้ฟังเรื่อยๆ เจ้าค่ะ
*** น่าสนใจว่าราคาหุ้นของ BIG มักจะถูกไล่ราคาขึ้นมาในช่วงฤดูการท่องเที่ยว นัยว่าจะเป็นช่วงที่ทำให้อุปกรณ์การถ่ายภาพซึ่งเป็นสินค้าหลักขายดีขึ้นมาว่างั้น อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาหุ้นของ BIG ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นของ BIG ก็จะขยับแบบนี้อยู่แล้วทุกปี และทุกครั้งเจ๊เมาธ์ก็ไม่เคยเห็นว่า การไล่ราคาที่ว่านี้จะมีเรื่องของการขายสินค้าที่ดีขึ้น หรือ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นแบบที่มีข่าวลือแต่อย่างใด เพราะนอกจากการไล่ราคาแบบสุดมันส์ประเภทขึ้นโหด...ลงโหด นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมออกมาให้เห็น เอาเป็นว่าในช่วงขาขึ้น จะเล่นแบบเก็งกำไรก็น่าจะทำได้ แต่ในระยะยาว หากได้กำไรก็แบ่งเก็บเป็นเงินจริงๆ เอาไว้บ้างก็ดีนะคะ ของแบบนี้มันไม่แน่ไม่นอนค่ะ
*** เห็นราคาหุ้นของ EA NEX และ BYD วิ่งแบบนี้จำเป็นที่จะต้องขยายความให้ฟังกันเอาไว้อีกครั้ง เรื่องแรกคือการที่ทั้ง EA และ NEX ร่วมกันเป็นเจ้าของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน Amita Technology (Thailand) โรงงานผลิตแบตเตอร์รี่ เพื่อยานยนต์ไฟฟ้าขนาด 1 GWh ที่เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ขณะเดียวกันทางด้านของ NEX ก็กำลังอยู่ในระหว่างการส่งมอบรถบัสพลังงานไฟฟ้า (E-BUS) ให้กับลูกค้าซึ่งคาดว่าปีนี้น่าจะส่งได้รวมแล้วมากกว่า 500 คัน ซึ่งในส่วนนี้ขาหนึ่งทางด้านของ EA ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NEX ในสัดส่วนมากกว่า 40%
ขณะเดียวกันในส่วนของ BYD ซึ่งเป็นลูกค้าที่ซื้อรถบัสพลังงานไฟฟ้า (E-BUS) มาจากทาง NEX ก็มีความเกี่ยวพันกับทาง EA โดยจะสังเกตได้จากกลุ่มผู้บริหารสำคัญของ BYD ล้วนแล้วแต่โอนย้ายมาจาก EA ซึ่งก็แสดงให้เห็นได้ถึงความสัมพันธ์ของ EA NEX และ BYD ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในระดับที่ไม่ธรรมดา พูดกันถึงขนาดนี้แล้วก็คงไม่ต้องบอกว่าทั้งสามบริษัทจะมีทิศทางราคาดีหรือไปได้ไกลแค่ใหนนะคะ เอาเป็นว่างานนี้เค้าเล่นกันเป็นทีมก็แล้วกันค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,741 วันที่ 19 - 22 ธันวาคม พ.ศ. 2564