KEX ฝืนเกินไป... มันก็เหนื่อยแบบนี้

12 พ.ย. 2564 | 08:00 น.
1.6 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** โค้งสุดท้ายของการแจ้งผลการดำเนินงาน 3/64 บริษัทไหนที่ผลการดำเนินงานยังดีก็มีโอกาสไปต่อ ส่วนที่ผลงานไม่เด่นพอ หรือ ยังทำกำไรไม่ได้ก็คงต้องรอบรอบ หรือ รอจังหวะที่ภาวะเศรษฐกิจเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่านี้ หวังว่าหลายบริษัทที่ผลงานไม่ดีเป็นเพราะจังหวะยังไม่ได้เท่านั้นนะคะ ส่วนตัวแสบๆ ที่ทำยังไงก็ไม่เคยดีหรือว่าทำอะไรก็มีแต่ขาดทุนก็เตือนว่าอย่าไปยุ่งเป็นดีที่สุดเจ้าค่ะ
 

เห็นผลงานไตรมาส 3/64 ออกมาแล้ว..ไอ้เรื่องที่เคยคิดว่าจะไม่พูดถึงหุ้นเคยเก่งอย่าง KEX มันก็ทำไม่ได้ทันที นั้นก็เป็นเพราะงงมากที่ราคา KEX หุ้นถูกดันขึ้นมาเพื่อรองรับกำไรแค่ 13 ล้านบาทในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กำไร 3/64 ลดลงไปถึง 96% เมื่อเทียบกับไตรมาสของปีที่ผ่านมา อืม..แทบจะไม่มีกำไรเลยทั้งที่รายได้เพิ่มขึ้นมากถึง 48% ซึ่งแบบนี้มันน่าจะสะท้อนว่าประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการทำกำไรมันสวนทางกับที่รับรู้ตลอดมา 
 

เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์จะไม่พูดหรือบ่น...แต่จะยกคำพูดของนักวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี ที่บอกว่าการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นเครื่องมือหลักทำให้การเติบโตของรายได้ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งแม้ KEX กำลังจะเข้าสู่ธุรกิจใหม่อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี ขณะที่ผลประกอบการ 3/64 ต่ำกว่าคาดการณ์ค่อนข้างมากและราคาหุ้นของ KEX ยังไม่ดีพอ..หรือถูกพอที่จะเข้าไป “ลงทุน” แนะนำแค่ “ถือ” เท่านั้น ส่วนจะตัดสินกันว่ายังไงก็ว่ากันไปนะคะ เจ๊ก็ได้แค่อ้างข้อมมูลมาเล่าให้ฟังเท่านั้นค่ะ
 

*** สำหรับ JMART แล้วผลการดำเนินงานเชิงเดียวของบริษัทอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรที่โดดเด่น แต่เมื่อ JMART ดึงเอารายได้ของบริษัทลูกอย่าง SINGER JMT เข้ามารวมก็ทำให้ JMART มีกำลังแรงขึ้นมา รวมการที่ทาง BTS ได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 1.75 หมื่นล้านบาท เข้ามาลงทุนด้วยก็ทำให้ JMART มีภาพไม่ต่างกับพยัคฆ์ติดปีก โดยทาง BTS ได้ส่งบริษัทในเครืออย่าง บริษัท วีจีไอ จํากัด (มหาชน) (VGI) และ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) (U) เข้ามาลงทุนใน JMART โดย U City เข้าไปลงทุน 24.9% ในบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (“SINGER”)
 

และส่ง U City พร้อมกับ VGI ไปร่วมกันลงทุนใน JMART เป็นจำนวนรวมกว่า 1.04 หมื่นล้านบาท โดย U City จะถือหุ้นในสัดส่วน 9.9% ในขณะที่ VGI ถือหุ้นในสัดส่วน 15.0% ซึ่งนี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมราคาหุ้นของ JMART และบริษัทในเครือต่างก็ปรับราคาขึ้นมาเรื่อย เพราะหลังจากที่ได้รับการปลดล็อกฐานเงินลงทุนจากกลุ่ม BTS ก็จะทำให้ JMART สามารถขยับตัวได้มากและง่ายขึ้นยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงขอแนะนำว่า JMART และบริษัทในเครือน่าสนใจมากค่ะ
 

*** ไม่แปลกที่ราคาหุ้นของ MTC จะร่วงลงแรงในช่วงก่อนและการแจ้งผลการดำเนินงานเพราะในฐานนะของแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามหุ้นตัวนี้มานานเจ๊เมาธ์ยืนยันได้ว่า เห็นมาแบบนี้มาทุกไตรมาสแล้วค่ะ และหลังจากที่ราคาร่วงลงไปไม่นานหลังจากนี้ก็จะมีข่าวดีโน้น นั่น...และนี่ ออกมาดันราคาหุ้นของ MTC เอาไว้ตลอดมา แต่ถ้าหากว่าไม่สนใจเรื่องของข่าวสารที่เกี่ยวข้องและมองไปที่เรื่องของรายได้และกำไรเป็นหลัก

เจ๊เมาธ์ก็ยืนยันได้ว่าผลกการดำเนินงานหุ้นลีสซิ่งอย่าง MTC มีดีพอที่จะเก็บยาวเอาไว้ได้ เพราะนอกจากธุรกิจปล่อยกู้จะเป็นธุรกิจที่ยังจะต้องอยู่กับประเทศไทยก็ยังมีเรื่องจำนวนสาขาที่เมื่อเทียบกับคู่แข่งยังดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดนะคะ ดังนั้นหุ้นอย่าง MTC ถือว่าเป็นหุ้นอีกตัวที่เจ๊เมาธ์คิดว่าสะสมได้เจ้าค่ะ  
 

*** สำหรับหุ้นน้องใหม่อย่าง บมจ.เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ ONEE มีหลายคนถามหลังไมค์ว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจหรือไม่...อย่างไร เอาเป็นว่าหุ้นสื่อบันเทิงอย่าง ONEE ถือว่าน่าจะพอไปได้...ย้ำว่าพอไปได้นะคะ ซึ่งหากมองไปที่หุ้น IPO ที่นำออกมาขายจำนวนเกือบๆ 500 ล้านหุ้น ที่ราคาจองซื้อ 8.50 บาท เทียบกับผลการดำเนินงานปัจจุบันและทิศทางของการบริโภคสื่อของคนไทยในอนาคตแล้ว งานนี้เจ๊บอกได้เลยว่า ONEE น่าจะเหนื่อยกับการดันราคาหุ้นให้ไปได้ไกลมากกว่านี้พอสมควร ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก..เอาแค่การดูทีวีในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีมากจนแทบจะไม่มีใครจำชื่อช่องรายการได้แล้ว ขณะที่ช่องทางการเสพสื่อช่องทางอื่นทั้งของไทยและต่างประเทศมีเข้ามาให้เลือกอีกเยอะ งานนี้บริษัทผู้ผลิตสื่อของไทยก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นไปอีกไม่น้อย
 

ดังนั้น ไม่ต้องไปหวังสูงมาก...เอาแค่ให้มีผลการดำเนินงานที่ดี และราคาหุ้นปรับขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ดีมากแล้วนะคะ บอกเลยว่าหุ้นสื่อบันเทิง น่าจะไม่บันเทิงอย่างที่คิดเจ้าค่ะ
 

*** ช่วงนี้มีบริษัทที่ทำธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุดก็มี บมจ.เฮลท์ลีด (HL) บริษัทที่ทำธุรกิจร้านขายยาก็จะเป็นเข้ามาอีกราย โดยความน่าสนใจของ HL นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจการดูแลสุขภาพซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลกธุรกิจในยุคปัจจุบัน HL ยังเป็นธุรกิจร้านขายยาแบบ Chain Store ที่มีสาขาอยู่ในทำเลที่เป็นแหล่งชุมชนซึ่งมีเภสัชกรประจำตลอดเวลา โดยที่ผ่านมาถือว่าเป็นระดับการทำกำไรของ HL ทำได้ดีพอสมควร หลังจากนี้ก็คงต้องมาตามดูกันว่าหุ้นน้องใหม่อย่าง HL จะสามารถราคาเปิดตัวได้ดีเหมือนกับที่หุ้น IPO ตัวก่อนหน้านี้ทำได้หรือเปล่า แต่สำหรับเจ๊เมาธ์บอกได้ว่าในระยะยาวหุ้นเมกะเทรนด์แบบนี้ดูน่าสนใจดีนะคะ หุ้น IPO มีขายเพียงแค่ 72 ล้านหุ้นเท่านั้นเองค่ะ
 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,731 วันที่ 14 - 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564