thansettakij
เจาะปมสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อุปสรรคเขย่าธุรกิจมะกันในจีน

เจาะปมสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อุปสรรคเขย่าธุรกิจมะกันในจีน

02 เม.ย. 2568 | 11:00 น.

เจาะลึกปมขัดแย้งการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังข้อตกลงเฟสแรก ปัญหาเทคโนโลยีเกษตร สัตว์ปีก การเงินดิจิทัล และอุปสรรคลงทุนยังคาราคาซัง

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงเต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค ล่าสุด สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้เผยแพร่รายงาน National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers ประจำปี 2025 ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ระบุถึง "กำแพงทางการค้า" ต่างๆ ที่ประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงจีน ได้นำมาใช้เพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ ซึ่งรายงานฉบับนี้ถือเป็นกระจกสะท้อนถึงปัญหาและความกังวลของรัฐบาลและภาคธุรกิจอเมริกันที่มีต่อแนวทางการค้าของจีนในปัจจุบัน

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในรายงานฉบับนี้คือ นโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของจีน ที่สหรัฐฯ มองว่ายังคงขาดความโปร่งใสและเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทภายในประเทศอย่างเห็นได้ชัด รายงานระบุว่า แม้จีนจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง แต่ภาคธุรกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและความลำเอียงในการพิจารณาข้อเสนอต่างๆ นอกจากนี้ มาตรการล่าสุดอย่าง "Notice on Matters Concerning Domestic Product Standards and Implementation Policies in the Field of Government Procurement (Draft for Comments)" ที่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นเมื่อเดือนธันวาคม 2024 ได้สร้างความกังวลให้กับบริษัทต่างชาติมากยิ่งขึ้น เนื่องจากร่างมาตรการดังกล่าวเสนอให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในจีนและใช้วัตถุดิบภายในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด จะได้รับ "ส่วนลดราคา" ถึง 20% ในขั้นตอนการประเมินผลการประกวดราคา ซึ่งถือเป็นการ "ให้แต้มต่อ" ที่ไม่เป็นธรรมและอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่มีการจัดซื้อผ่านภาครัฐ

ในส่วนของการ คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP) รายงานดังกล่าวยังคงชี้ให้เห็นถึง "ความบกพร่อง" ในระบบการคุ้มครองและบังคับใช้กฎหมาย IP ของจีน แม้ว่าจีนจะมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆ ภายหลังการเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) และภายใต้ข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 กับสหรัฐฯ แล้วก็ตาม จีนยังคงถูกจัดอยู่ใน "บัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ" (Priority Watch List) ในรายงาน Special 301 ของ USTR ประจำปี 2024 และตลาดหลายแห่งในจีนยังคงถูกระบุว่าเป็น "ตลาดที่มีชื่อเสียด้านการละเมิดลิขสิทธิ์และปลอมแปลงสินค้า" (Notorious Markets List) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการละเมิด IP ในจีนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกและการลงทุนของสหรัฐฯ ความกังวลยังคงมีอยู่เกี่ยวกับ การคุ้มครองความลับทางการค้า การบังคับใช้กฎหมายต่อการละเมิดทางออนไลน์ และความไม่ชัดเจนในบางมาตรการที่ออกมา ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการปฏิบัติจริง

นอกจากนี้ อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Technical Barriers to Trade - TBT) ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎระเบียบด้านเครื่องสำอาง (Cosmetics Supervision and Administration Regulation - CSAR) และมาตรการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสหรัฐฯ และประเทศสมาชิก WTO อื่นๆ ได้แสดงความกังวลอย่างต่อเนื่อง ข้อกำหนดต่างๆ ภายใต้ CSAR เช่น การบังคับให้เปิดเผยสูตรส่วนผสมทั้งหมด ซัพพลายเออร์วัตถุดิบ วิธีการผลิต ข้อมูลด้านความปลอดภัย และการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญทางธุรกิจบนเว็บไซต์ของหน่วยงานกำกับดูแล ได้สร้างภาระอย่างมากให้กับผู้ส่งออก สหรัฐฯ มองว่าจีน "ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของเครื่องสำอางสูงเกินความจำเป็น" และข้อกำหนดในการยื่นขอจดทะเบียนยังแตกต่างจากตลาดใหญ่อื่นๆ อย่างไม่มีเหตุผลเพียงพอ

ความกังวลยังรวมถึง ความไม่โปร่งใส ของโครงการ "Outline for the Development of National Standardization" และ "China Standards 2035" ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานที่ไม่เป็นสากล เลือกปฏิบัติ และจำกัดการมีส่วนร่วมของต่างชาติในกระบวนการกำหนดมาตรฐาน

สำหรับ อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ รายงาน NTE 2025 ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลจีนในการ "สนับสนุน" อุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างแข็งขัน ผ่านแผน "Made in China 2025" และนโยบายอื่นๆ เช่น การให้เงินทุนสนับสนุน การกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น และนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เอื้อต่อผู้ผลิตในประเทศ เป้าหมายหลักคือการ "เพิ่มส่วนแบ่งตลาด" ของอุปกรณ์การแพทย์ที่ผลิตและเป็นเจ้าของโดยบริษัทจีน และลดส่วนแบ่งตลาดของอุปกรณ์นำเข้าภายในปี 2025 นอกจากนี้ นโยบาย "Value-Based Purchasing (VBP)" ที่มุ่งเน้นการควบคุมราคา ยังสร้างความกังวลให้กับบริษัทต่างชาติเกี่ยวกับผลกระทบต่อ "นวัตกรรม" และคุณภาพของการรักษา ขณะเดียวกัน ร่าง "Medical Device Management Law" ฉบับใหม่ แม้จะมีการปรับปรุงบางประการ แต่ก็ยังคงมีเนื้อหาที่ "สนับสนุน" อุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้แนวทางการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการใหม่ๆ ที่ให้ "แรงจูงใจ" ในการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่มี IP เป็นของบริษัทในจีน ยิ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้ส่งออกสหรัฐฯ และบริษัทที่ผลิตในจีนโดยใช้ IP ของสหรัฐฯ

นอกจากอุปสรรคทางการค้าโดยตรงแล้ว รายงานยังกล่าวถึง ระบบเครดิตทางสังคม (Social Credit System) ที่จีนกำลังดำเนินการ ซึ่งในส่วนของภาคธุรกิจนั้นมีความคืบหน้าไปมาก โดยบริษัททั้งในและต่างประเทศจะได้รับ "รหัสเครดิตทางสังคมแบบรวม" 18 หลัก แม้รายงานจะไม่ได้ระบุถึงผลกระทบโดยตรงต่อการค้าในส่วนนี้ แต่ก็เป็นประเด็นที่ภาคธุรกิจต่างชาติต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต

 

โดยสรุป รายงาน National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers ประจำปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลอย่างต่อเนื่องของสหรัฐอเมริกาต่อ "แนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม" ของจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก การลงทุน และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจอเมริกันในตลาดจีน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ไม่โปร่งใส ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา อุปสรรคทางเทคนิคที่เข้มงวด รวมถึงนโยบายที่มุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างชัดเจน ล้วนเป็น "กำแพง" สำคัญที่สหรัฐฯ ต้องการผลักดันให้จีนปรับปรุงแก้ไข เพื่อสร้าง "สนามการค้าที่เท่าเทียม" และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ท่าทีและความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางใด และจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจนี้อย่างไรในอนาคต