"โดนัลด์ ทรัมป์" คว้าชัยว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47

06 พ.ย. 2567 | 16:20 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2567 | 13:51 น.

"โดนัลด์ ทรัมป์" คว้าชัยชนะสู่ตำแหน่งว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ผลการนับคะแนนเบื้องต้น คณะผู้เลือกตั้ง 270 คะแนน เป็นฝ่ายคว้าชัยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี โค่น กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างสุดระทึก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย กองเชียร์ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เป็นฝ่ายได้เฮลั่น 

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมา ทรัมป์ วัย 78 ปี ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral college) ถึง 270 คะแนนก่อน เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โค่นกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี

การคว้าชัยชนะอีกครั้งในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของทรัมป์ ถูกจับตาส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองในสหรัฐฯ และทั่วโลก

นี่คือการกลับมาสู่ทำเนียบขาวครั้งที่สองของเขา หลังจากพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2020 ให้แก่โจ ไบเดน การกลับมาครั้งนี้สร้างความประหลาดใจและการคาดการณ์ถึงแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ

พรรครีพับลิกันชนะการควบคุมวุฒิสภาสหรัฐ

พรรครีพับลิกันชนะการควบคุมวุฒิสภาสหรัฐได้สำเร็จและยึดสภาคืนได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทำให้พรรครีพับลิกันมีศูนย์กลางอำนาจสำคัญในกรุงวอชิงตัน และมีบทบาทนำในการยืนยันคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีคนต่อไป รวมถึงผู้พิพากษาศาลฎีกาหากมีตำแหน่งว่าง

อย่างก็ตาม การควบคุมสภาผู้แทนราษฎรยังคงเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกัน เพราะยังมีการแข่งขันอีกกว่า 100 รายการที่ยังต้องประกาศ

โลกระทึก ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี 

ชัยชนะครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเมืองของสหรัฐฯ โดยทรัมป์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและความมั่นคงภายในประเทศ ทรัมป์คาดว่าจะผลักดันนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในและลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบกับพันธมิตรสหรัฐฯ อย่างแน่นอน

นโยบายการปฏิรูปด้านการย้ายถิ่นฐานเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ทรัมป์ประกาศว่าจะควบคุมการเข้ามาของผู้อพยพและแรงงานต่างชาติอย่างเข้มงวด เพื่อให้สหรัฐฯ ปลอดภัยยิ่งขึ้นและสร้างโอกาสให้แก่ประชาชนในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะลดอิทธิพลของจีนต่อเศรษฐกิจโลกและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะปรับลดภาษีและกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงการส่งเสริมการผลิตในประเทศ เขายังเน้นย้ำถึงการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ นโยบายเหล่านี้มีผลกระทบในวงกว้างกับเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ ในขณะที่ทรัมป์อาจพยายามสานต่อความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญเช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เพื่อสร้างแนวป้องกันและลดบทบาทของจีนในเศรษฐกิจโลก

ผลกระทบต่อสังคมอเมริกันและความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ชัยชนะของทรัมป์ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางความเชื่อและมุมมองทางการเมืองในสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนเขามองว่าเขาคือผู้นำที่สามารถฟื้นฟูและพัฒนาสหรัฐฯ กลุ่มผู้คัดค้านกลับมีความกังวลเกี่ยวกับการแบ่งแยกทางสังคมและนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มชนกลุ่มน้อย

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของสหรัฐฯ ในอนาคต

ประวัติ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ

ทรัมป์ มีชื่อเต็มว่า โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (Donald John Trump) อดีตประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา

เกิดวันที่ 14 มิถุนายน 1946 เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้องทั้งหมด 5 คน บิดาคือ เฟรดเดอริก คริสต์ ทรัมป์ (Frederick Christ Trump) ประสบความสำเร็จอย่างมากกับกิจการอสังหาริมทรัพย์สำหรับชนชั้นกลาง มารดาคือแมรี่ แอนน์ แมคลีโอด ทรัมป์ (Mary Anne MacLeod Trump) 

วัย 13 ปี ถูกส่งไปปลูกฝังวินัยที่โรงเรียนทหารนิวยอร์ก (New York Military Academy) ก่อนที่ทรัมป์เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม (Fordham University) และย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton School) ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียจนสำเร็จการศึกษาในปี 1968

ช่วงสงครามเวียดนามในทศวรรษ 1960

ทรัมป์ยื่นผ่อนผันการเกณฑ์ทหารเนื่องจากติดเรียนและป่วยเป็นโรคกระดูกงอก (Bone Spurs) ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ เมื่อสหรัฐเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสุ่มตามวันเกิดในภายหลัง ลำดับวันเกิดของทรัมป์ก็ถูกเรียกเป็นคิวที่ 356 จาก 366 เขาจึงไม่ถูกเกณฑ์ไปรับใช้ชาติ 

ปี 1971  

เมื่อจบการศึกษา ทรัมป์กลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวที่นิวยอร์ก และสืบทอดกิจการเต็มตัว

ปี 1973

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกล่าวหาบริษัทของทรัมป์มีการเลือกปฏิบัติไม่อนุญาตให้ชาวแอฟริกันอเมริกันเช่าอาศัย

ช่วงทศวรรษ 1970

ทรัมป์ขยายธุรกิจออกไปยังมลรัฐต่าง ๆ มากขึ้น และตั้งสำนักงานทรัมป์ ทาวเวอร์ (Trump Tower) บนถนนฟิฟธ์อเวนิว (Fifth Avenue) เขตแมนฮัตตัน และขยายธุรกิจเพิ่ม ได้แก่ โรงแรม รีสอร์ต ที่พักอาศัย กาสิโน อาคารพาณิชย์ และสนามกอล์ฟ 

ปี 1976

ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเครือโรงแรมไฮแอทและอิทธิพลทางการเมืองของพ่อซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตแห่งบรูคลิน เพื่อเจรจาข้อตกลงกับรัฐบาลนครนิวยอร์ก เขาได้รับการลดหย่อนภาษีเป็นเวลา 40 ปี และนำข้อเสนอไปเจรจาซื้อคอมโมโดร์ โฮเทล (Commodore Hotel) จากเพนน์ เซ็นทรัล เรลโรดที่กำลังล้มละลาย (Penn Central Railroad) 

ทรัมป์ยังออกหนังสือให้คำแนะนำทางธุรกิจ เป็นเจ้าของสิทธิเวทีประกวดนางงามจักรวาล, นางงามสหรัฐ และมิสทีนยูเอสเอ ตั้งแต่ปี 1996 ถึงปี 2015 อีกด้วย 

ปี 2004 ถึง 2005  

ทรัมป์ขยายบทบาทของตัวเองในอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยรายการทีวี ดิ แอพเพรนทิซ (The Apprentice) ซึ่งเขาเป็นพิธีกรและให้ผู้เข้าร่วมรายการแข่งขันกันแย่งชิงสัญญาจ้างงานในเครือธุรกิจของเขา

ในปี 2020  สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ทรัมป์หลบเลี่ยงภาษี ปกปิดข้อมูลภาษีและการขาดทุนอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ

ปี 2000-2012

ทรัมป์แข่งขันแย่งสิทธิในการเป็นตัวแทนพรรคชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีมาก่อนหลายครั้ง ภายใต้สังกัดพรรคปฏิรูป (Reform Party) และสังกัดพรรครีพับลิกัน

ปี 2016

ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยม และคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 มาครองได้สำเร็จ