ผลสำรวจความคิดเห็นที่เผยแพร่โดย CNN โพลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 กำลังเข้าสู่ช่วงการแข่งขันที่ดุเดือด โดย "กมลา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันเพียงเล็กน้อย โดยผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า 49% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสนับสนุนแฮร์ริส ขณะที่ 47% สนับสนุนทรัมป์
การสำรวจนี้เป็นส่วนหนึ่งของ CNN Poll of Polls ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นจากหลายแหล่ง โดยหนึ่งในนั้นคือโพลของ New York Times/Siena College ซึ่งพบว่าแฮร์ริสมีคะแนนสนับสนุน 47% เทียบกับทรัมป์ที่ 44% ในกรณีที่มีผู้สมัครบุคคลที่สามเข้ามา
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้แฮร์ริสได้รับการสนับสนุนสูงคือการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้หญิง โดยในกลุ่มผู้หญิงอิสระ แฮร์ริสมีคะแนนนำถึง 51% ขณะที่ทรัมป์ได้เพียง 36% ส่วนในกลุ่มชายอิสระ ทรัมป์ได้เปรียบที่ 47% ต่อ 40% ของแฮร์ริส ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการแบ่งแยกทางเพศที่ชัดเจนในแง่ของความนิยม
เมื่อแยกตามเชื้อชาติ แฮร์ริสได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวแอฟริกันอเมริกันที่ 79% และกลุ่มลาตินที่ 59% ในขณะที่ทรัมป์มีคะแนนสนับสนุนในกลุ่มเหล่านี้เพียง 16% และ 40% ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุต่ำกว่า 30 ปียังสนับสนุนแฮร์ริสอย่างชัดเจน โดย 55% สนับสนุนแฮร์ริส และมีเพียง 38% ที่สนับสนุนทรัมป์
อย่างไรก็ตาม โพลยังชี้ให้เห็นว่าทรัมป์ยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างมากในด้านนโยบายเศรษฐกิจ โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง 50% ที่เชื่อว่าทรัมป์จะสามารถบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่า ขณะที่แฮร์ริสได้รับการสนับสนุนเพียง 39% ในประเด็นนี้ ทรัมป์ยังได้รับคะแนนนิยมสูงในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีรายได้สูงและกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตชนบท ขณะที่แฮร์ริสได้รับการสนับสนุนจากเขตเมืองและกลุ่มคนชั้นกลางถึงล่างมากกว่า
แม้ในเรื่องเศรษฐกิจจะเป็นจุดแข็งของทรัมป์ แต่ในด้านสิทธิสตรีและการทำแท้ง แฮร์ริสยังคงมีคะแนนนำเหนือทรัมป์อยู่มาก โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52% สนับสนุนแฮร์ริสในประเด็นนี้ ขณะที่ทรัมป์ได้เพียง 31% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในทัศนคติทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย
การสำรวจของ CNN ยังชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังมองว่าทรัมป์มีแนวคิด "สุดโต่ง" กว่าแฮร์ริส โดย 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าทรัมป์มีทัศนคติสุดโต่ง ขณะที่ 42% เชื่อว่าแฮร์ริสมีแนวคิดที่น่าสนใจ ซึ่งอาจส่งผลต่อกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังลังเลหรือไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดในขณะนี้
การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการต่อสู้ทางความนิยมระหว่างตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดสินทิศทางของนโยบายและอนาคตของประเทศในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น สิทธิมนุษยชน การทำแท้ง นโยบายการเงิน และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงาน โดยเฉพาะในประเด็นความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ทรัมป์เน้นการกลับไปใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะที่แฮร์ริสสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน
จากภาพรวมของการสำรวจนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 จะเป็นการต่อสู้ที่สูสีและน่าจับตามอง ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงการหาเสียงที่เข้มข้น
ที่มา