“สี จิ้นผิง” ป่วยเลือดสมองตีบให้ฟังหูไว้หู โอกาสเป็นไปได้ 50 : 50

18 ก.ค. 2567 | 11:21 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ค. 2567 | 13:17 น.
821

นักวิชาการให้ “ฟังหู ไว้หู” ข่าวลือ“สี จิ้นผิง” เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบ ระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 3 ชี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงยัง 50 : 50 แต่หากจริง จะส่งผลต่อจีนในหลายมิติ และอาจเปลี่ยนตัวผู้นำ

จากมีกระแสข่าวลือบนโลกออนไลน์ของจีนว่า ประธานาธิบดี  “สี จิ้นผิง” ของจีน เกิดอาการหลอดเลือดในสมองตีบ หรือสโตรก ระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 3 โดยระบุนางเจนนิเฟอร์ จาง นักข่าวสายสิทธิมนุษยชน เป็นต้นทางของข่าวลือในครั้งนี้ ขณะที่สื่อหลักของจีน และสื่อหลักต่างประเทศยังไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าวแต่อย่างใดนั้น

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เรื่องนี้ต้อง “ฟังหู ไว้หู” เพราะเวลานี้  เฟคนิวส์ (Fake News) หรือ ข่าวปลอมมีค่อนข้างมาก คงต้องดูรอว่า ทางการจีนปิดข่าวเรื่องนี้หรือไม่ หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้ยังไม่มีรายงานข่าวจากสื่อหลัก หรือสื่อทางการของจีน รวมถึงสื่อหลัก ๆ ในต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจะส่งผลกระทบต่อจีนในหลายมิติ ทั้งด้านการบริหารประเทศที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจต้องเปลี่ยนตัวผู้นำจีนใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายปลีกย่อยในการบริหารประเทศในบางเรื่องอาจเปลี่ยนแปลงไป แต่นโยบายหลัก ๆ จะยังคงอยู่ เพราะยังขึ้นกับคณะกรรมการกลางของพรรคคิมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความเชื่อมั่น และนโยบายต่างประเทศของจีนไม่มากก็น้อย

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

“หากสี  จิ้นผิงป่วยเป็นหลอดเลือดสมองตีบจริง จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจทำให้ไม่สามารถบริหารประเทศได้ และต้องเปลี่ยนตัวผู้นำ ใครจะมาแทน ขณะที่จะมีผลกระทบต่อจีนในหลากหลายมิติดังที่กล่าวมา เพราะเวลานี้จีนเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ที่แก่มากแล้ว และยังยืนยันจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งเวลานี้สมองทำงานค่อนข้างช้า จะสังเกตเวลาขึ้นเวทีหาเสียงจะพูดผิดพูดถูก ตอกย้ำมีปัญหาเรื่องสุขภาพ คำถามคือ หากชนะเลือกตั้งและได้บริหารประเทศอีก 4 ปีจะไหวหรือไม่”

อนึ่ง จีน เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย (ไม่นับอาเซียน)  ในปี 2566 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน  3.65 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน  18.33% ที่ไทยค้ากับโลก โดยไทยส่งออกไปจีน 1.17 ล้านล้านบาท นำเข้า 2.47 ล้านล้านบาท ไทยขาดดุลการค้าจีน 1.29 ล้านล้านบาท ส่วนช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 การค้าไทย-จีนมีมูลค่ารวม 1.64 ล้านล้านบาท  ไทยส่งออก 5.22 แสนล้านบาท นำเข้า 1.12 ล้านล้านบาท ไทยขาดดุลการค้าจีน 6.01 แสนล้านบาท