“กลุ่มฮูตี” ประกาศโจมตีทะเลแดงเพิ่ม หลังโดนสหรัฐ-อังกฤษถล่ม

04 ก.พ. 2567 | 20:33 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.พ. 2567 | 20:34 น.
1.4 k

“กลุ่มฮูตี” ประกาศโจมตีทะเลแดงเพิ่มขึ้นอีก หลังโดน สหรัฐ-อังกฤษถล่มเป็นระลอกที่ 3 มุ่งเป้าไปที่สถานที่ 13 แห่งทั่วเยเมน

เป็นระลอกที่ 3 แล้วที่สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรโจมตีกลุ่มฮูตี 36 แห่งในเยเมนเมื่อคืนวันเสาร์ (3 ก.พ.) สิ่งนี้กระตุ้นให้กลุ่มฮูตีให้คำมั่นว่าจะโจมตีการขนส่งเชิงพาณิชย์ในทะเลแดงต่อไป

การโจมตีครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากอีก 6 ประเทศ รวมถึง แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และบาห์เรน โดย สหรัฐฯ ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่สถานที่ 13 แห่งทั่วเยเมน และโจมตีสถานที่จัดเก็บอาวุธใต้ดิน ระบบขีปนาวุธ เครื่องยิง และความสามารถอื่นๆ ที่กลุ่มกบฎฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ใช้ในการโจมตีการขนส่งทางเรือในทะเลแดง

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนประกาศเมื่อเช้าวันนี้ (4 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น ว่า จะโจมตีตอบโต้ต่อการโจมตีทางอากาศของสหรัฐและอังกฤษในช่วงคืนวันเสาร์ (3 ก.พ.) ที่มุ่งเป้าไปยัง 6 จังหวัดทางตอนเหนือของเยเมนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฮูตี รวมถึงกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศด้วย

พลจัตวายะฮ์ยา ซารี โฆษกกองทัพฮูตี กล่าวแถลงการณ์ผ่านช่องทีวีอัล-มาซีเราะฮ์ ของฮูตีว่า การโจมตีทางอากาศของกลุ่มพันธมิตรสหรัฐ-อังกฤษ จะไม่ทำให้ลดการสนับสนุนประชาชนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และจะไม่ปล่อยผ่านไปโดยไม่มีการตอบโต้และการลงโทษ

เดวิด คาเมรอน รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร ออกมาปกป้องเหตุโจมตีดังกล่าว โดยระบุว่า ได้ออกคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกไปยังกลุ่มฮูตี เพราะการกระทำที่ประมาทของกลุ่มฮูตีกำลังทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์ตกอยู่ในความเสี่ยง คุกคามเสรีภาพในการเดินเรือ และทำให้ภูมิภาคไม่มั่นคง การโจมตีของกลุ่มฮูตีจะต้องหยุดลง 

ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้เปิดฉากโจมตีร่วมกันเมื่อวันที่ 11 และ 23 มกราคม ส่วนการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่สหรัฐโจมตีกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในอิรักและซีเรียเพื่อตอบโต้การสังหารทหารสหรัฐฯ 3 นายที่ฐานทัพทหารแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนจอร์แดน-ซีเรียเมื่อสัปดาห์ก่อน

นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 กลุ่มฮูตีได้โจมตีเรือพาณิชย์และเรือรบสหรัฐในทะเลแดงและอ่าวเอเดนด้วยขีปนาวุธมากกว่า 40 ครั้ง สร้างความวุ่นวายให้กับการเดินเรือระหว่างประเทศในช่องทางขนส่งที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก