สภาผู้แทนฯสหรัฐผ่านร่างกม.เพิ่มเพดานหนี้ เหลือลุ้นด่านสว.

27 เม.ย. 2566 | 10:53 น.
อัปเดตล่าสุด :27 เม.ย. 2566 | 11:05 น.

สภาผู้แทนฯสหรัฐ ผ่านร่างกม.เพิ่มเพดานหนี้แล้ว หลังจากที่รัฐมนตรีคลัง “เจเน็ต เยลเลน” ออกมาวิงวอนคองเกรสให้เร่งหามาตรการหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ และหายนะทางเศรษฐกิจที่จะตามมา

 

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ มีมติด้วยคะแนนเสียง 217 ต่อ 215 ผ่าน ร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐ แล้ววานนี้ (27 เม.ย.) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึง มาตรการปรับลดการใช้จ่าย ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ ยังต้องผ่านอีกด่านคือ วุฒิสภา ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเจออุปสรรค เนื่องจากอาจจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะใช้สิทธิ์วีโต (veto) เพื่อคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย ถ้าหากร่างกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภามาได้

อย่างไรก็ตาม การที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรมาได้แล้ว ก็ถือเป็นชัยชนะของนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเขาคาดหวังว่า จะสามารถโน้มน้าวใจปธน.ไบเดนให้เข้าร่วมการเจรจาเพื่อปรับลดการใช้จ่ายของภาครัฐได้ แม้ว่าทำเนียบขาวและสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสจะยืนกรานว่า ต้องการให้ปรับเพิ่มเพดานหนี้โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขอื่น ๆ พ่วงเข้ามาด้วย

ร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดการเงินเผชิญกับความปั่นป่วน โดยในปี 2554 เคยเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้ในสภาคองเกรส จนเป็นเหตุให้สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการลงทุนอย่างรุนแรง

ร่างกฎหมายฉบับนี้ ยังต้องผ่านอีกด่านคือวุฒิสภา ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเจออุปสรรค

ด้วยเหตุนี้ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐจึงออกมาเตือนว่า หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลและนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับหายนะ และจะยิ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า

 

คุณรู้ไหมว่า ....

เพดานหนี้ คือ จำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุญาตให้ทำการกู้ยืมเพื่อให้รัฐบาลสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการด้านประกันสังคมและด้านสุขภาพ  ดอกเบี้ยตราสารหนี้ของรัฐบาล และการใช้จ่ายอื่น ๆ