มองบทบาทจีน ในฐานะ “ตัวกลาง” ไกล่เกลี่ยวิกฤตนิวเคลียร์ในยูเครน

10 ต.ค. 2565 | 06:38 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2565 | 14:00 น.

โลกมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิด “สงครามนิวเคลียร์” ระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตกเพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการสู้รบในยูเครน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ประเทศหนึ่งอาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยวิกฤตการณ์ดังกล่าว นั่นก็คือ “จีน”

เมื่อพูดถึง บทบาทของจีน ในฐานะประเทศที่อาจจะเข้ามาเป็น ตัวกลาง ในการไกล่เกลี่ยเพื่อหลีกเลี่ยง “สงครามนิวเคลียร์” ในวิกฤตยูเครน สิ่งที่ยังเป็นข้อสงสัยก็คือ นักวิเคราะห์บางคนยังไม่เชื่อว่า จีนจะมีแรงจูงใจเพียงพอที่จะเข้ามารับบทบาทดังกล่าว และหนึ่งในนั้นคือ สตีฟ ชาง ผู้อำนวยการสถาบันจีน แห่ง SOAS University of London โดยเขากล่าวว่า หากจะมีประเทศมหาอำนาจประเทศใดที่สามารถโน้มน้าวประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้ ประเทศนั้นก็คือจีน แต่ปัญหาก็คือ นโยบายต่างประเทศของจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือ “จีนมาก่อน" ซึ่งหมายความว่า จีนจะต้องเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการเข้าร่วมในเรื่องนี้อย่างละเอียด

 

สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า จีนคือสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเพียงประเทศเดียวที่รับปากว่าจะไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน นอกจากนี้ จีนยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของรัสเซียและเป็นประเทศที่มีอิทธิพลทางการเมืองต่อรัฐบาลกรุงมอสโกมากที่สุดประเทศหนึ่ง

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน

แต่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า จีนจะมีผลพลอยได้ “เพียงเล็กน้อย” หากจะช่วยเหลือสหรัฐบรรเทาวิกฤตด้านนิวเคลียร์ครั้งนี้ ประกอบกับจีนยังคงไม่พอใจต่อรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกี่ยวกับนโยบายที่มีต่อจีน โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน หลังจากที่สหรัฐขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน และการที่นักการเมืองระดับสูงของสหรัฐหลายคนทยอยเดินทางเยือนกรุงไทเปในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ศาสตราจารย์หยวน จิงตง ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศจีนที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะจีนจะทบทวนว่า จีนจะได้อะไรจากการเข้าไปไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ ในเมื่อรัฐบาลสหรัฐมีนโยบายที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของจีนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การค้าไปจนถึงเทคโนโลยี และตั้งแต่ประเด็นไต้หวันไปจนถึงอินโดแปซิฟิก

 

ด้าน ซู เฟ็ง คณบดีของสถาบันต่างประเทศศึกษา มหาวิทยาลัยนานกิง ประเทศจีน ให้ความเห็นว่า อิทธิพลของจีนต่อสงครามในยูเครนนั้นมีข้อจำกัดอย่างยิ่ง และหากจีนขอให้ปูตินยุติสงครามท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดในขณะนี้ ก็เหมือนกับเป็นการขอให้รัสเซียยอมรับความพ่ายแพ้ และเป็นการประหารปูตินทางการเมือง ซึ่งไม่มีทางที่ปูตินจะรับฟัง

 

ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับศาสตราจารย์หยวน จิงตง ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ที่เห็นคล้ายกันว่า ปูตินจะกล่าวสั้น ๆ ว่า "ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร" เพราะสิ่งที่ปูตินคำนึงถึงนั้นคืออนาคตและการอยู่รอดของตนเองและรัสเซียมากกว่า

 

ที่ผ่านมา จีนค่อนข้างมีท่าทีกำกวมในสงครามยูเครน คือทั้งไม่ร่วมประณามรัสเซีย แต่ก็ไม่ช่วยจัดหาการสนับสนุนทั้งทางการเมืองและการทหารแก่รัสเซียด้วย และก่อนหน้านี้ ทางการจีนได้ออกมาขอร้องอย่างเป็นทางการให้มีการเจรจาและหาทางออกอย่างสันติต่อสงครามในยูเครน

 

ในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน กล่าวว่า ในฐานะประเทศที่มีความรับผิดชอบและเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ จีนยึดมั่นต่อแนวทางการเจรจาเพื่อสันติภาพ การไม่ถอยออกไปยืนดูห่าง ๆ และไม่ราดน้ำมันลงบนกองเพลิง รวมทั้งไม่หาประโยชน์ส่วนตน จีนจะยืนหยัดในฝั่งเดียวกับสันติภาพและจะยังคงรับบทบาทสำคัญต่อไป

 

ทั้งนี้ ในการพบหารือครั้งล่าสุดระหว่างประธานาธิบดีสี กับประธานาธิบดีปูติน เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่าผู้นำจีนอาจแนะให้ผู้นำรัสเซียลดระดับความรุนแรงลง ในขณะเดียวกัน จีนก็มีความกังวลหากรัสเซียพ่ายแพ้ในสงครามนี้จริง ๆ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน

ด้านนายไซมอน เชิน นักรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University) ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เป็นความกังวลมากที่สุดอย่างหนึ่งของจีน คือ หากปูตินพ่ายแพ้ในครั้งนี้และสูญเสียอำนาจการเมือง อาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียสมัยหน้าในปี 2024 (พ.ศ.2567) ซึ่งพรรคฝ่ายค้านที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลวอชิงตันอาจพลิกขึ้นมาเป็นผู้ชนะ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้นำจีนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น และนั่นคือเหตุผลที่จีนต้องการให้รัสเซียและยูเครนหาทางเจรจาเพื่อยุติสงครามโดยเร็ว

 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ศาสตราจารย์หยวน จิงตง จาก ม.ซิดนีย์ เชื่อว่า หากรัสเซียพ่ายแพ้สงคราม ก็จะเหลือเพียงจีนประเทศเดียวที่ยืนหยัดต่อต้านสหรัฐและชาติตะวันตก รวมทั้งพันธมิตรของสหรัฐในเอเชีย ซึ่งจะเป็นเรื่องยากสำหรับจีนในการเดินหน้าตามเป้าหมายต่าง ๆ ที่จีนวางไว้

 

กระนั้นก็ตาม สตีฟ ชาง แห่ง SOAS University of London มองต่างมุมว่า อาจจะเป็นผลดีต่อจีนเองหากจีนรับบทบาทนำในการไกล่เกลี่ยสันติภาพครั้งนี้สำเร็จ เพราะจะช่วยให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านการสร้างสันติภาพของโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของจีนได้มาก รวมทั้งนำผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาให้หากสงครามสิ้นสุดลงจริง ๆ “แต่ปัญหาคือ ปธน.สี มองไม่เห็นประเด็นนี้และไม่มีใครในรัฐบาลจีนที่กล้าบอกเขา”

 

ซุน ยุน ผู้อำนวยการโครงการจีน แห่งสติมสัน เซ็นเตอร์ (Stimson Center) เชื่อว่า จีนอาจไม่ได้สนใจสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีบนเวทีโลกมากนัก เพราะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหลายอย่างที่จีนกำลังเผชิญอยู่ รวมทั้งประเด็นไต้หวัน และอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนสหรัฐที่มีต่อจีนเช่นกัน

 

เรื่องนี้ ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนมาถึงข้อสรุปว่า ท่าทีของจีนต่อสงครามในยูเครนนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่สหรัฐมีต่อจีนทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วย "เพราะหากอเมริกาต้องการได้ความช่วยเหลือจากจีน อเมริกาก็ต้องทบทวนท่าทีและนโยบายที่มีต่อจีนด้วยเช่นกัน"

 

ที่มา: วีโอเอ