คริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม และตำนาน 3 สัญลักษณ์แห่งเทศกาลคริสต์มาส

22 ธ.ค. 2566 | 00:30 น.
7.2 k

บรรยากาศแห่งความสุขของ“คริสต์มาส อีฟ” (Christmas Eve) ค่ำคืนก่อนวันคริสต์มาสเริ่มขึ้นแล้ว ท่ามกลางเสียงเพลงคริสต์มาสและความรื่นรมย์ใจ เรามาทำความรู้จัก "ซานตาคลอส" "กวางเรนเดียร์" และ "กิ่งมิสเซิลโท" 3 สัญลักษณ์ที่แสนคุ้นตาของเทศกาลคริสต์มาสกันเถอะ  

 

“คริสต์มาส อีฟ” (Christmas Eve) ตรงกับวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี ในฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะเริ่มเฉลิมฉลองกันตั้งแต่ช่วงเย็นของคริสต์อีฟ หรือเย็นวันที่ 24 ก่อนที่จะเข้าสู่ วันคริสต์มาส หรือวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองการถือกำเนิดของพระเยซูคริสต์

การฉลองคริสต์มาสอีฟในวันที่ 24 นั้นมีสาเหตุมาจากประเพณีดั้งเดิม ที่ทำสืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวยิว ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพิธีกรรมต่างๆ ในศาสนาคริสต์ และประเพณีนั้นก็ได้ทำสืบต่อกันมา อีกทั้งคำสอนในพระคัมภีร์ จากหนังสือปฐมกาลที่ได้กล่าวถึงการสร้างโลก ก็ระบุไว้ว่า “วันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างกลางวัน และกลางคืน” ดังนั้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองคืนแรกที่พระผู้ไถ่ หรือพระเยซูจะประสูติขึ้นมา ก็เลยมีการเฉลิมฉลองเฝ้ารอการบังเกิดของพระเยซูกันตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม

กิจกรรมที่ทำในช่วงเย็นวันคริสต์มาสอีฟ มีตั้งแต่การสวดภาวนาที่โบสถ์ การกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว การร่วมการร้องเพลงคริสต์มาสตามบ้าน การตีระฆังในช่วงเย็นของโบสถ์หลายๆ แห่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส

การถือกำเนิดของพระเยซูคริสต์

ส่วน วันคริสต์มาส ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี นั้น ถือเป็นวันเฉลิมฉลองการถือกำเนิดของพระเยซูคริสต์ เนื่องจากไม่มีหนังสือเล่มไหนบอกชัดว่า พระเยซูเกิดมาเวลาใด จะเป็นเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 24 พอดี หรือจะเป็นช่วงหลังเที่ยงคืน ซึ่งก็เข้าสู่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 25 แล้ว เลยถือเอาเช้าวันที่ 25 เป็นชั่วโมงเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส

ทุกวันนี้ คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่ผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะเด็กๆ ต่างก็ตื่นเต้น รอที่จะได้รับของขวัญจากซานตาคลอส ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ผู้ที่มอบของขวัญให้แก่เด็ก ๆ ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของพวกเขานั่นเอง

เมื่อพูดถึงซานตาคลอสแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส เขาเป็นใครและทำไมถึงสำคัญนัก

ประวัติความเป็นมาของซานต้า

ซานตาคลอส หรือ นักบุญนิโคลัส (Santa Claus หรือ Saint Nicholas) เป็นบุคคลที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการของชาวคริสต์ โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก เซนต์นิโคลัส

ซานตาคลอส ในความคิดของคนทั่วไป เป็นชายแก่รูปร่างอ้วนและดูใจดี เขามักใส่เสื้อโค้ทที่ทำจากขนสัตว์สีแดงสด มีขลิบสีขาว ที่เอวคาดเข็มขัดหนังและรองเท้าบูทสีดำ ที่พำนักอาศัยของเขาอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเอลฟ์ ซึ่งเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ช่วยผลิตของเล่น เพื่อที่จะให้เขานำไปแจกเด็กที่เป็นเด็กดีในคืนวันคริสต์มาส

ซานตาคลอสและรูดอล์ฟ

ซานตาคลอสมีพาหนะเป็นเลื่อนหิมะ ที่ลากโดยกวางเรนเดียร์บินได้ ในกลางดึกวันคริสต์มาส ซานตาคลอสจะแอบเข้าไปในบ้านที่มีเด็กดีทางปล่องไฟ เพื่อนำของขวัญไปใส่ในถุงเท้าที่แขวนรอไว้หน้าเตาผิง

เรื่องราวในตำนานระบุว่า ชื่อ ซานตาคลอส มาจากชื่อ นักบุญนิโคลัส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาสในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้

ต่อมาเด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกาโดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็น “ซานตาคลอส” และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอย่างที่เรารู้จักกัน

อีกสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส คือ กวางเรนเดียร์จมูกแดงที่ชื่อ “รูดอล์ฟ”   

เจ้ากวางจมูกแดงสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ

ตามเรื่องเล่าขาน รูดอล์ฟ (Rudolph) คือกวางเรนเดียร์จมูกแดง เป็นกวางที่ลากเลื่อนให้กับซานตาคลอส และด้วยรูปลักษณ์พิเศษของเจ้ากวางน้อยที่มีจมูกเป็นสีแดงโดดเด่นแตกต่าง จากกวางตัวอื่น จึงเป็นประโยชน์ต่อลุงซานต้า ชายแก่ใจดีที่ดวงตาฝ้าฟาง มองทางไม่ค่อยเห็นในตอนกลางคืน และเส้นทางที่ต้องไปแจกของขวัญให้กับเด็กๆ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านทั้งหมอก พายุหิมะ ต่างๆ นานา ลุงแกจึงได้อาศัยเจ้ากวางจมูกแดงตัวนี้แหละลากเลื่อนนำไปได้ตรงทาง ทันเวลาส่งของขวัญให้กับเด็กๆ ทั่วโลกพอดี

แม้จมูกเปล่งประกายสีแดงจะทำให้กวางรูดอล์ฟถูกหัวเราะเยาะ แต่กวางน้อยจิตใจกล้าหาญยังคงมุ่งมั่นที่จะทำตามฝันของตน แม้จะต้องพบกับอุปสรรคใดๆ ก็ตาม เขาพาซานตาคลอสฝ่าสายหมอกและพายุหิมะไปแจกของขวัญให้เด็ก ๆทั่วโลกได้เสมอ

ในนิทานเล่าขานเกี่ยวกับกวางรูดอล์ฟ ให้แง่คิด สอนให้เด็ก ๆ รู้ว่า ถึงเราจะมีอะไรที่แปลกแตกต่างกว่าคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่สามารถทำคุณประโยชน์ให้กับใครๆ ได้ โลกสร้างทุกคนให้มาแตกต่างกันก็เพื่อให้ทุกคนช่วยเหลือกันและกันนั่นเอง

เผื่อว่าใครจะเคยได้ยินเพลง “Rudolph the Red-Nosed Reindeer” เรามีชื่อกวางตัวอื่น ๆ ของซานตาคลอสมาฝาก นอกจากรูดอล์ฟที่เป็นหัวแถวแล้ว ยังมีกวางอีก 8 ตัว ได้แก่ แดชเชอร์ , แดนเซอร์, แพรนเซอร์ ,วิเซน , โคเม็ท , คิวปิด, ดันเดอร์ ( ดันเดอร์นั้นต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นดอนเดอร์หรือดอนเนอร์ ) และ บลิเซม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบลิทเซ็น)

ทำไมต้องได้จูจุ๊บใต้กิ่งมิสเซิลโท (Mistletoe)

นอกจากซานตาคลอส และกวางเรนเดียร์แล้ว อีก 1 สัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาสก็คือ กิ่งหรือพุ่มมิสเซิลโท ซึ่งเป็นพืชกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยบนต้นไม้อื่น มิสเซิลโทโดดเด่นเขียวชอุ่มบนต้นไม้ที่กลายเป็นสีน้ำตาลในหน้าหนาว หนุ่มสาวที่ยืนใต้ต้นไม้นี้จะจูบกัน เพราะมีความเชื่อว่า...

ถ้าได้จูบใต้ต้นมิสเซิลโทนี้แล้ว จะมีความรักอันเป็นนิรันดร์ตราบนานเท่านาน เหมือนมิสเซิลโทที่ยังเขียวใสในฤดูหนาวที่แสนทรมาน

มิสเซิลโท จะถูกจับมาแต่งเป็นช่อ ห้อยตกแต่งโต๊ะทานอาหาร แขวนหน้าบ้าน แขวนไว้บนหน้าประตูหรือที่อื่นๆ ในบ้าน เพื่อสื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส (ในอดีตมีการใช้กิ่งมิสเซิลโทเป็นสัญลักษณ์ในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และนำพาโชคดีรวมทั้งการมีบุตรหลานมาสู่ครอบครัวด้วย)

"มิสเซิลโท" ต้นไม้กาฝากที่มีความหมายลึกซึ้ง

กล่าวกันว่า  หญิง-ชาย คู่รักที่อยู่ใต้ช่อมิสเซิลโทจะต้องจูบกัน เพื่อให้ความรักของพวกเขานั้นเป็นนิรันดร์ตราบนานเท่านาน นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมการขโมยจูบหญิงสาวใต้ช่อมิสเซิลโทในวันคริสต์มาสด้วย ถือเป็นธรรมเนียมที่ได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษ กล่าวกันว่า ถ้าหากสาวปฏิเสธการจูบของหนุ่มใดใต้กิ่งมิสเซิลโทในวันคริสต์มาส นั่นหมายความว่าในอนาคตเธอก็จะปฏิเสธการขอแต่งงานของเขาเช่นกัน

รู้อย่างนี้แล้ว ใครมีคู่เตรียมหาจังหวะเหมาะ ๆ จูจุ๊บหวานใจใต้กิ่งมิสเซิลโท ส่วนใครอยากบอกรักก็เสี่ยงลุ้นกันเอาเองนะ สำหรับเรา ขอตัวไปแขวนถุงเท้ารอรับของขวัญก่อนดีกว่า “Merry Christmas!”  

ขอบคุณข้อมูลจาก แคมปัสสตาร์ดอตคอม / วิกิพีเดียสารานุกรมออนไลน์