เหตุผลที่ “กาชาดสากล” เตือนระบบสาธารณสุขอินโดฯ “ใกล้ล่มสลาย”

30 มิ.ย. 2564 | 01:00 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มิ.ย. 2564 | 07:35 น.
971

สภากาชาดสากลเตือนระบบสาธารณสุขอินโดฯใกล้ล่มสลายจากวิกฤตโควิด ยอดผู้ติดเชื้อล้นทะลักโรงพยาบาล จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนด้านการแพทย์ การตรวจสอบ และการฉีดวัคซีน

สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies) ออกแถลงการณ์วานนี้ (29 มิ.ย.) เตือนว่า อินโดนีเซีย จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งด้านการแพทย์ ระบบการตรวจสอบ และการฉีดวัคซีน ขณะที่ ระบบสาธารณสุขของประเทศใกล้ล่มสลาย จากผลกระทบหลังเกิดการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19

เหตุผลที่ “กาชาดสากล” เตือนระบบสาธารณสุขอินโดฯ “ใกล้ล่มสลาย”

 นายแจน เกลฟานด์ หัวหน้าคณะตัวแทนของสหพันธ์สภากาชาดฯประจำอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า สิ่งที่เห็นได้ในทุกๆวันก็คือ ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตากำลังผลักดันให้อินโดนีเซียเข้าใกล้สภาวะที่เรียกว่า “หายนะโควิด-19"

"เราต้องการให้ทั่วโลกช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศอย่างอินโดนีเซียสามารถเข้าถึงวัคซีนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตของประชาชนจำนวนหลายหมื่นคน" นายเกลฟานด์กล่าว

สหพันธ์สภากาชาดฯระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังพุ่งขึ้นทั่วอินโดนีเซีย ทำให้โรงพยาบาลในกรุงจาการ์ตาและอีกหลายเมืองประสบภาวะขาดแคลนเตียงและออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยโควิด

อย่างไรก็ดี นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ยังคงปกป้องนโยบายในการใช้มาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพียงในบางพื้นที่ โดยเขาคัดค้านการใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ แม้มีเสียงเรียกร้องทั้งจากบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายราย ให้มีการดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา (ณ วันที่ 29 มิ.ย.) มีจำนวน 20,467 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วประเทศอยู่ที่ 2,156,465 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

ปัจจุบัน การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ลุกลามไปทั้ง 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย

เหตุผลที่ “กาชาดสากล” เตือนระบบสาธารณสุขอินโดฯ “ใกล้ล่มสลาย”

ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 463 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตโดยรวมขยับขึ้นสู่ระดับ 58,024 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียนเช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง