“อองซานซูจี” เตือนประชาชนเลี่ยงรักษาโควิด-19 ด้วยวิธีพื้นบ้าน

26 ก.ย. 2563 | 18:34 น.
568

“อองซานซูจี” เตือนประชาชนเลี่ยงรักษาโควิด-19 ด้วยวิธีพื้นบ้าน ควรไปรักษาที่โรงพยาบาล

ย่างกุ้ง, 26 ก.ย. (ซินหัว) — อองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา เรียกร้องประชาชนหลีกเลี่ยงการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ด้วยวิธีพื้นบ้าน แต่ให้เดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“เมียวดี” ประกาศเคอร์ฟิวหลังโควิด-19 ระบาด

"ออง ซาน ซูจี" สั่งล็อกดาวน์ย่างกุ้ง หลังโควิดระบาดหนัก

สธ.สั่ง ร.พ.ชายแดนระดมอุปกรณ์ ผวา แรงงานเถื่อนหอบโควิดเข้าไทย

"บิ๊กป้อม"สั่งคุมเข้มชายแดนพม่า ย้ำทุกจังหวัดอย่าประมาทรับมือโควิด 

 

“เราพบว่าเมื่อประชาชนบางคนคิดว่าตนติดเชื้อ พวกเขาจะพยายามเยียวยาตัวเองด้วยวิธีพื้นบ้าน และจะไปโรงพยาบาลเฉพาะเวลาที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีดังกล่าวได้สำเร็จ” ซูจีแถลงข่าวทางโทรทัศน์ เมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ (25 ก.ย.)

ซูจี สนับสนุนให้ผู้คนไปโรงพยาบาลตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เนื่องจากการควบคุมโรคและการรักษาจะเป็นเรื่องยากลำบาก หากผู้ป่วยถูกส่งไปโรงพยาบาลเฉพาะหลังเข้าสู่ระยะติดเชื้อ

“การที่ผู้คนพยายามรักษาตัวเองด้วยวิธีพื้นบ้านอาจเป็นผลมาจากข่าวสาวที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ซึ่งการปฏิบัติตามวิธีรักษาแบบนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่มีผู้ใดทราบแนวทางแน่นอนในการป้องกันโรคโควิด-19

ซูจี กล่าวว่ารัฐบาลได้จัดเตรียมโรงพยาบาลในเขตและเมืองให้พร้อมรองรับการตรวจโควิด-19 อีกทั้งร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และแพทย์จากภาคเอกชน เพื่อเติมเต็มความต้องการทรัพยากรบุคคลที่โรงพยาบาลด้วย

นอกจากนั้นทางการจะแจกจ่ายชุดทดสอบไปยังโรงพยาบาลในเขตและเมือง เพื่อให้พวกเขาสามารถจัดการตรวจโรคโควิด-19 ได้อย่างเหมาะสมในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ ซูจี แนะนำประชาชนอย่ากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันมากเกินไป แต่ให้มีความกังวลอย่างเพียงพอในระดับหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต่อการตระหนักรู้ถึงผลกระทบของโรค

“ความวิตกกังวลมากเกินไปอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง ภาวะเครียดที่เกิดจากความกังวลอาจทำให้เราสูญเสียภูมิคุ้มกันโรค และเราไม่ต้องการให้ผู้คนกังวลโดยไม่จำเป็น”

ตัวเลขล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขและกีฬาระบุว่าเมียนมาตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 9,112 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 174 ราย เมื่อนับถึงคืนวันศุกร์ (25 ก.ย.)

ที่มา:สำนักข่าวซินหัว