ขนมขบเคี้ยว-อาหารสร้างภูมิแดนภารตะบูม ชี้ช่องเอกชนไทยชิงตลาด 1.4 แสนล้าน

01 มิ.ย. 2563 | 18:49 น.
900

อินเดียเตรียมวางมาตรฐานขนมขบเคี้ยวและอาหารสร้างภูมิ คาดบูมในช่วงโควิด-19 ดึงผู้ผลิตขนมรายใหญ่ให้ข้อมูลเพื่อกำหนดระดับปริมาณสูงสุดของส่วนผสม ทูตพาณิชย์ชี้ช่องโอกาสไทยชิงตลาด 1.45 แสนล้าน

สื่ออินเดียรายงานว่า หน่วยงานด้านมาตรฐานและความปลอดภัยทางอาหารของอินเดีย (FSSAI) กําลังวางกฎระเบียบสําหรับสินค้าประเภทของว่าง ขนมขบเคี้ยว และของหวานต่าง ๆ อาทิ Mithai และ Namkeen ซึ่งมักมีปริมาณน้ำตาล น้ำมัน และเกลือเป็นจํานวนมาก (High, Fat, Salt, Sugar: HFSS Food Category) โดยได้เชิญผู้ผลิตขนมรายสําคัญมาให้ข้อมูล อาทิ Haldiram’s, Bikanervala และ Das Pendawala ซึ่งเป็นตัวแทนจากสหพันธ์ผู้ผลิตขนม (Federation of Sweets Manufacturers) ที่มีสมาชิกกว่า 400 ราย โดย FSSAI จะกําหนดระดับปริมาณสูงสุดของส่วนผสมข้างต้น รวมถึงมาตรฐานการใช้น้ำมันและนมที่มีคุณภาพ ตลอดจนหีบห่อของอาหารในบรรจุภัณฑ์ (Packed Food)    

 

 FSSAI ยังอยู่ระหว่างการจัดทําโลโก้ที่แสดงการรับรองขนมตามมาตรฐานใหม่นี้ และจะสื่อสารไปยังผู้บริโภคว่า ขนมขบเคี้ยวของอินเดียจะต้องคํานึงถึงสุขภาพมากขึ้น (“Same Taste, Better Health”) เพื่อสร้างการตระหนักให้กับผู้บริโภคทั้งในอินเดียและชาวอินเดียโพ้นทะเลซึ่งนําเข้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย 

นอกจากนี้ FSSAI กําลังวางแผนที่จะกําหนดมาตรฐานสินค้าอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับกระแสการป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสโควิด-19 ด้วย โดยจากสถิติพบว่าอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันมียอดขายเพิ่มขึ้น 20-40% ในขณะที่การค้นหาสินค้าทางออนไลน์ในกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า นอกจากนี้ข้อมูลจาก CEO ของร้านขายของชําสําหรับกลุ่มคนที่มีกําลังซื้อปานกลาง-สูง (Spencer’s Retail and Nature’s Basket) ยังระบุว่ามีกระแสการหาซื้ออาหารเสริมและเครื่องปรุงที่มีสรรพคุณต้านเชื้อโรค อาทิ แยมมะขามป้อมสูตรโบราณของอินเดีย (Chyawanprash) ขมิ้นผง และ เกลือต่าง ๆ 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ(ทูตพาณิชย์) ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เผยว่า ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าขนาดของตลาดขนมขบเคี้ยว/อาหารว่างในอินเดียมีมูลค่าประมาณ 1.45 แสนล้านบาท โดยนิยมบริโภคในช่วงเทศกาล พิธีแต่งงาน และการเฉลิมฉลองที่มีจํานวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตเช่นกัน รวมถึงสินค้านวัตกรรมอาหาร/ซุปเปอร์ฟู้ดส์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

อย่างไรก็ตาม ในการส่งออกมายังตลาดอินเดีย นอกจากต้องคํานึงถึงราคาที่สอดรับกับกําลังซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว ยังต้องใช้เวลาเตรียมการด้านเอกสารด้วย โดยเฉพาะสินค้าที่มีส่วนผสมแปลกใหม่หรือมีนวัตกรรม ซึ่งต้องขอ Certificate of Analysis (CoA) จากห้องปฏิบัติการในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 17025 เนื่องจากสินคานั้นอาจยังไม่ได้อยู่ในรายการของอาหารที่ FSSAI ได้กําหนดมาตรฐานรองรับไว้ (Standardized Food) ทั้งนี้ FSSAI ได้กําหนดให้ส่วนผสมอาหารไว้จํานวน 511 ชนิดเท่านั้นที่เป็น Standardized Food โดยอนุญาตให้เอกชนอินเดียสามารถผลิต นําเข้าและจําหน่ายได้ โดยไม่ต้องขอเอกสารรับรองจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งถือว่ายังมีจํานวนน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

ขนมขบเคี้ยว-อาหารสร้างภูมิแดนภารตะบูม ชี้ช่องเอกชนไทยชิงตลาด 1.4 แสนล้าน

2.ในการส่งออกอาหารมายังอินเดีย ผู้ส่งออกต้องประสานกับผู้นําเข้าเพื่อเตรียมเอกสารต่าง ๆ โดยก่อนที่ผลิตภัณฑ์อาหารมาถึงประเทศอินเดีย ผู้นําเข้าจะทําหนังสือมอบอํานาจ (Authority Letter) เพื่อให้ตัวแทนจัดการศุลกากร (Customs Handling Agent: CHA) ทําการยื่นใบขอตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหารผ่านระบบออนไลน์ของ FSSAI และจ่ายค่าธรรมเนียม การสุ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์ รวมถึงส่งต่อจดหมายที่จ่าหน้าถึงเจ้าหน้าที่ FSSAI ประจําท่าเรือ/ท่าอากาศยาน เพื่อให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหารตามใบที่แสดงปริมาณและมูลคาของผลิตภัณฑ์ (Bill of Entry) โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารนําเข้าจะถูกส่งไปตรวจสอบโดยห้องปฏิบัติการและพิจารณาตามข้อกําหนดของ FSSAI ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน หลังจากผ่านการตรวจแล้วจะได้รับใบรับรองให้นําเข้าได้ (No Objection Certificate: NOC) เพื่อนําผลิตภัณฑ์ทั้งหมดออกจากคลังสินค้าศุลกากรมาชําระอากรขาเข้าต่อไป