เปิดมุมมองบิ๊กธุรกิจใต้ หากการเมืองพลิกขั้ว เพื่อไทยแกนนำตั้งรัฐบาล

19 ก.ค. 2566 | 10:36 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ค. 2566 | 15:09 น.

บิ๊กธุรกิจภาคใต้ หนุนเพื่อไทยแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ชี้อยากเห็นรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพ นโยบายชัดเจนส่งผลต่อดีเศรษฐกิจ ไร้ประท้วงบนถนน

นายสมพล ชีววัฒนาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกล  ภาคเอกชนน่าจะตอบสนองได้ดีกว่าพรรคก้าวไกลในหลาย ๆ เรื่อง อย่างแรกก็คือประเด็นมาตรา 112 อาจจะไม่ได้รุนแรงเหมือนพรรคก้าวไกล และอย่างที่สองในเรื่องของนโยบายการพัฒนาประเทศ เช่น เรื่องค่าแรง 450 บาท ก็อาจจะไม่ได้กระทบต่อภาคเอกชน

ฉะนั้นถ้าพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลสำเร็จจริงแล้วไม่มีการชุมนุมประท้วงคิดว่า ด้านเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าไปต่อได้ เพราะว่ามีรัฐบาลที่ชัดเจน และมีนโยบายที่ภาคเอกชนน่าจะทำกันได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเยอะ

“ถ้าประเด็นที่ร้อนแรงตอนนี้ถูกยกออกไป แล้วรัฐบาลที่ได้มายังเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายยอมรับกัน ก็จะเดินกันต่อไปได้” 

นายสมพล ชีววัฒนาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา

ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์การเมืองเป็นระยะ ๆ เพราะว่าที่เหลือเป็นการเจรจาต่อรองกันและคงจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

"ที่ภาคเอกชนอยากจะเห็นก็คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในทางบวก ซึ่งทางภาคเอกชนอยากเห็นในลักษณะแบบนั้น เราไม่อยากเห็นการประท้วงบนท้องถนน นโยบายที่กระทบต่อเอกชน”

ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา กล่าวว่า   ในมุมของการท่องเที่ยวไม่น่าจะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจากพรรคก้าวไกลเป็นพรรคเพื่อไทย

แต่ในแง่ของการลงทุนถ้าเกิดไม่มีมาตรการอะไรคงไว้ปกติ คิดว่ามันอาจจะส่งผลกระทบทำให้นักลงทุนตัดสินใจคิดก่อน เพราะว่าคุณเป็นประเทศประชาธิปไตยก็จริง แต่หลักเกณฑ์มันไม่เป็นไปตามหลักสากล และเปลี่ยนแปลงได้ตลอด  เพราะฉะนั้นในประเทศที่ไม่นิ่งหรือไม่ชัวร์ในเรื่องของตัวบทกฎหมายหรืออะไร อันนี้นักลงทุนเขาจะคิด

ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา

“ผมคิดว่าอันนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ถ้าเกิดมาตรการต่าง ๆ ไม่เปลี่ยน แล้วไม่มีอะไรไปกระตุ้นทุกอย่างยังเหมือนเดิม อันนี้น่าจะส่งผลกระทบได้”

ดร.สิทธิพงษ์ กล่าวและว่า สิ่งที่ภาคเอกชนอยากเห็นหน้าตารัฐบาลใหม่ก็คือ ต้องเข้ามาแก้ไขเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลัก ทั้งการแก้ปัญหาและการกระตุ้นซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ถือว่าล่าช้า และไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า ใครจะมาเป็นรัฐบาล ซึ่งโดยปกติเมื่อการเลือกตั้งจบ เราสามารถรู้ว่าใครจะเป็นรัฐบาล หน้าตารัฐบาลจะเป็นอย่างไร 

แต่พอมาในลักษณะแบบนี้เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ถึงแม้ว่าจะมีการทำ MOU แล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอย่างน้อยทำให้เอกชนได้เห็นหน้าตารัฐบาลและแนวทางของรัฐบาลจะเดินไปในทิศทางไหน

การฟอร์มทีมรัฐบาลรอบนี้มันนาน ตอนนี้ยังไม่ค่อยส่งผลกระทบอะไร แต่หากเวลาเนิ่นนานไปกว่านี้อีกคิดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เพราะเรามีหลาย ๆ เรื่องที่รอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ปัญหาและกระตุ้น อย่างเช่น เรื่องค่าเหยียบแผ่นดินที่กำลังจะเริ่มเดือนกันยายนนี้แล้ว  

นายบุญชู    ศัยศักดิ์พงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมตรัง และ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ตรังผลิตภัณฑ์อาหารทะเล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตนเพิ่งกลับมาจากประชุมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสัญจรที่จังหวัดปัตตานี ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก็พูดุยกันถึงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล หากเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและดำเนินนโยบายของพรรคเพื่อไทย นักลงทุนรับได้ที่จะขึ้นค่าแรงงานให้ลูจ้าง 

นายบุญชู  ศัยศักดิ์พงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมตรัง
 อีกทั้งทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเคยบริหารประเทศมาก่อน ยังเชื่อว่าสามารถบริหารประเทศไปได้ เพราะนโยบายในการหาเสียงหลายอย่างเป็นผลดีกับบ้านเมืองและไม่มีความขัดแย้งกับใคร ๆ

หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่เชื่อมั่นเพราะนโยบายในการหาเสียงนั้น จะไปตัดรายได้ของรัฐลง เช่นลดภาษีน้ำมัน ไฟฟ้าหรืออื่นๆ ที่หาเสียงไว้   แล้วจะให้รัฐจัดสวัสดิการให้ประชาชนมากมาย  รัฐจะเอาเงินมาจากไหนที่จะเลี้ยงประชาชนกลุ่มเปราะบาง   ส่วนนโยบายเก็บภาษีคนรวย เช่นภาษีมรดก ภาษีที่ดิน หรือเข้าไปรื้อธุรกิจ น้ำเมา ธุรกิจพลังงาน ก้าวไกลจะทำได้หรือ จะไปรื้อกองทัพ วุ่นวายไปหมด ก้าวไกลมีนโยบาย ลดรายได้รัฐแล้วเพิ่มรายจ่าย ไม่มีนโยบายหารายได้เข้ารัฐเช่นนี้ประเทศชาติจะไปได้หรือ  นักธุรกิจ นักลงทุน ไม่เอาด้วยครับ”

นายภาวัช  อ๋องเจริญกฤช   ประธานกรรมการบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีตรัง

นายภาวัช  อ๋องเจริญกฤช   ประธานกรรมการบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีตรัง  กล่าวว่า  ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่จำเป็นต้องมีรัฐบาลในการบริหารประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ นี่คือหลักการ ส่วนวิธีการที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง หากการเมืองถึงทางตัน   8 พรรคร่วมไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งรัฐบาลโดยการสลับขั้ว เพื่อให้ได้รัฐบาลเสียงข้างมาก สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ นักธุรกิจในประเทศและต่างประเทศมีความเชื่อมั่นทีมบริหารเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีประสบการณ์ทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจจุลภาค  ตลอดจนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ  สรุปได้ว่าพรรคเพื่อไทยมีทีมงานบริหารด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นแน่แท้ ผมมีความเชื่อมั่นเช่นนั้น

นายจิรายุสถ์ พิตรปรีชา ประธานกรรมการ บริษัท โรงแรมเรือรัษฎา จำกัด

นายจิรายุสถ์   พิตรปรีชา ประธานกรรมการ บริษัท โรงแรมเรือรัษฎา จำกัด มองว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะเป็นเรื่องที่ดี สถานการณ์ในขณะนี้ สิ่งที่ต้องทำคือ

1.ต้องเร่งจัดตั้งให้มีรัฐบาลมาบริหารประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว 

 2.ไม่ควรจะมีความขัดแย้งกันในประเทศที่รุนแรง ความขัดแย้งทางความคิดมีกันได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง และไปกระทบสิทธิหรือการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป 

3.เมื่อมีรัฐบาลต้องขับเคลื่อนการท่องเที่ยวหาเงินจากการท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยเร็ว

 4.การจัดตั้งรัฐบาลไม่ควรจะยืดเยื้อประวิงเวลาออกไปอีก เพราะจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี 

5.ที่สำคัญ รัฐบาลใหม่ต้องเร่งขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจเป็นอันดับแรกเพื่อความมั่นคงของประเทศ  นักลงทุน พ่อค้า นักธุรกิจ ทุกคนอยากได้รัฐบบาลที่มั่นคงบริหารเรื่องเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศชาติจะไปได้

สมชาย สามารถ/ ธีมดี ภาคย์ธนชิต :  รายงาน