กกต.จ่อเอาผิด "ธนาธร-หมอมิ้ง" ใส่ร้ายเปลี่ยนสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์

02 พ.ค. 2566 | 12:50 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ค. 2566 | 13:12 น.

กกต.เปิดศูนย์ฯต้านข่าวเท็จ เลือกตั้ง 66 "ปกรณ์"เผย เตรียมเอาผิด “ธนาธร-หมอมิ้ง” หลังเลือกตั้ง ปมกล่าวหาเปลี่ยนสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปกรณ์ มหรรณพ และ ดร.ฐิติเชฏฐ์ นุชนาฎ 2 กกต. เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติงานคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ ในการเลือกตั้ง 2566 โดยศูนย์ปฏิบัติงานคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ จัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ กกต. และสำนักงาน กกต.

และเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. และสำนักงาน กกต. ให้ประชาชนรับทราบ และเกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา ในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.

โดย ดร.ฐิติเชฏฐ์ กล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติงานคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ ว่า บางข่าวไม่จำเป็นต้องเสนอ กกต. ศูนย์ฯ มีอำนาจตรวจสอบและดำเนินการแก้ไข ชี้แจงข่าวปลอม และดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ กกต.พิจารณาอนุมัติดำเนินการ

ขณะเดียวกัน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังมีคนต้องการสร้างความวุ่นวายทำให้การเลือกตั้งไม่ราบรื่นและส่งผลกระทบต่อการทำงานของ กกต. และส่งต่อกันในโซเชียลมีเดีย กกต. ได้ดำเนินการแก้ไขชี้แจงและดำเนินคดีไปบ้างแล้ว เชื่อว่าข่าวปลอมในการเลือกตั้งครั้งนี้จะลดลง
 

ส่วนนายปกรณ์ ชี้แจงกรณีกรณีกล่าวหาว่า กกต. พิจารณายุบพรรคติดเทอร์โบ ว่า กกต. ดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่มีที่จะต้องทำด้วยความรวดเร็วแต่ที่สำคัญและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่แล้ว เช่นเดียวกับการแบ่งเขตก็ทำตามกฏหมาย พร้อมยืนยัน กกต. ให้เกียรติ ส.ส. เพราะเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า
    
ส่วนกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีดีเบต พูดว่า กกต. มีการเปลี่ยนแปลงสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า เป็นการพูดที่สร้างความเข้าใจผิดต่อการทำหน้าที่ของ กกต. โดยได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว

และจะมีการพิจารณาหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงเพราะไม่ต้องการให้การพิจารณาของ กกต. มีผลอย่างหนึ่งอย่างใดกับการเลือกตั้ง ส่วนจะถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่จะต้อง รอ มติจาก กกต. ก่อน โดยจะต้องพิจารณาจากข้อมูลที่ฝ่ายกฎหมายของ กกต. ส่งมา

ส่วนประเด็นการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ศาลปกครองสูงสุดตัดสินทั้ง 5 คดีว่า เราออกระเบียบโดยชอบ การกระทำของ กกต.ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ส่วนกรณีบัตรเลือกตั้งนั้น ไม่ได้บอกให้ กกต.เป็นผู้กำหนด ท่านมีเวลา 4 ปี ที่จะแก้กฎหมายให้ชัดเจน แต่ท่านไม่ทำให้สุด ท่านทำให้มีปัญหา กกต.ได้พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว โดยนายเจษฎ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย บอกว่า ถ้าไม่สามารถทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจดจำ และเลือกเบอร์ได้ท่านจะเอาความสามารถที่ไหนมาบริหารประเทศ
 

ส่วนการพิมพ์บัตรเกินในข่าวบอกว่าเกินไป 7 ล้านใบนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ความจริงเราพิมพ์เกินเพียง 4-5 ล้านใบ เพราะการพิมพ์บัตรต้องพิมพ์เป็นเล่มๆละ 20 ใบ ซึ่งแต่ละหน่วยต้องสำรองไว้หน่วยละ 1 เล่ม ซึ่งเป็นการสำรองเผื่อไว้สำหรับ กปน.และผู้รักษาความสงบอาจจะใช้สิทธิ์ที่หน่วยนั้น  

นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ ยังมีการสำรองไว้เผื่อเกิดความผิดพลาดในการพิมพ์ เช่น บางเล่มมี 18 ใบ ปัญหาสำคัญที่น่าจะคิดมากกว่าคือ เราจะไม่มีการทุจริต ทันทีที่นับคะแนนเสร็จ จะรู้ทันทีว่าบัตรใช้ไปเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ ป้องกันการผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการทุจริต ขอให้มั่นในว่า กกต.ไม่มีการทุจริต ตนขอให้สัญญาและคำมั่นเรื่องใดที่ไม่ถูกต้องจะแจ้งให้ทราบทันที พร้อมย้ำ ตลอด 4 ปีที่ทำงานไม่เคยมีประวัติที่ไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม การแถลงข่าวของคณะกรรมการด้านข่าวจึงมีความจำเป็น

"ต้องยอมรับว่าบางเรื่องมีความอ่อนไหวมาก แต่เราก็อดทนและพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เป็นคดี บางเรื่องด่าเราว่าเราด้วยคำหยาบ แต่เราก็มีมติไม่ดำเนินคดี เราจะอดทนและขอใช้ช่องทางการสื่อสารขององค์กรชี้แจง" นายปกรณ์ กล่าว

ส่วนกรณีเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ที่หลายคนยังคงคาใจนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า เป็นการเดินทางไปเพื่อปฎิบัติหน้าที่ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ หากไม่ไปอาจเกิดปัญหามากว่านี้หลายเท่า และสำนักงาน กกต. ได้ชี้แจงไปครบถ้วนแล้ว โดยสัญญาด้วยตำแหน่งของตัวเองว่า กกต.จะไม่ปิดบังข้อมูลอะไร จะชี้แจงข้อเท็จจริง ทุกอย่างให้ชัดเจน

นายปกรณ์ กล่าวด้วยว่า ในอีก 1-2 วันนี้ กกต. จะเปิดเผยมติบางอย่างออกมา โดยผู้สื่อข่าวพยามสอบถามว่า มติดังกล่าวจะมีผลอย่างหนึ่งอย่างใดกับพรรคการเมืองหรือไม่ นายปกรณ์ยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถามนี้ของสื่อมวลชนแต่อย่างใด