สภาหอการค้าหนุนแนวคิด“พรรคไทยสร้างไทย”ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

20 เม.ย. 2566 | 16:24 น.
อัปเดตล่าสุด :20 เม.ย. 2566 | 16:44 น.

“สภาหอการค้า" ต้อนรับ “สุดารัตน์” สนับสนุนแนวคิดพรรคไทยสร้างไทย ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งการปลดล็อค ก.ม. สร้างโอกาส SMEs เข้าถึงแหล่งทุน ด้วยกองทุนสร้างไทย  300,000 ล้าน ดันคลองไทยเป็นNew Economic Corridor แม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ 

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรค ไทยสร้างไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นายนพดล มังกรชัย รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมคณะประชุมหารือแนวนโยบายของพรรค กับ สภาหอการค้าไทย 

ที่นำโดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายไพรัช บูรพชัยศรี รองประธานกรรมการสภาหอการค้า นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมสภาหอการค้า  นายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมสภาหอการค้า นายสาระ ล่ำซำ ประธานกรรมการเงินการลงทุนและการประกัน และ คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี ประธานกลุ่มท่องเที่ยวสุขภาพ และกีฬา 

คุณหญิงสุดารัตน์ ยืนยันต่อกรรมการสภาหอการค้า ว่า พรรคไทยสร้างไทย ประกาศเดินหน้าจับมือเอกชน เพื่อสร้างโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุน และสนับสนุนด้านการตลาดให้กับ SMEs ด้วยกองทุนสร้างไทยมูลค่า 300,000 ล้านบาท โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนสำคัญ ในการปล่อยสินเชื่อโครงการนี้ เพื่อให้สินเชื่อถึง SMEs ที่ต้องการเงินทุนอย่างแท้จริง ในเงื่อนไขผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยถูกเพื่อพลิกฟื้นชีวิต

                   คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พบหารือ สภาหอการค้าไทย

นอกจากนี้ พรรคไทยสร้างไทย จะขจัดอุปสรรคในการทำมาหากิน ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย ได้เสนอกฎหมายพักการใช้ใบอนุมัติ/อนุญาต ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ 1,400 ฉบับไว้ชั่วคราว 3-5 ปี เพื่อให้ทำธุรกิจได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดต้นทุน ลดการรีดไถ โดยต้องมองคนทำมาหากินคือ คนสุจริต จึงต้องทำหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน การทำธุรกิจ ให้รวดเร็ว

จากนั้นจะเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการและผู้บริโภค มาร่วมกันแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้ลดจำนวนลงให้เหลือเฉพาะกฎหมายที่จำเป็น 100-200 ฉบับ เท่านั้น เช่น การขออนุญาตคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) หรือ การขอใบอนุญาต โรงแรม ที่ซ้ำซ้อน หรือ ไม่เอื้อต่อการทำมาหากิน 

                   คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พบหารือ สภาหอการค้าไทย

ขณะเดียวกัน ยังประกาศ “แก้หนี้ด้วยการสร้างรายได้ใหม่” ไม่ใช่กู้มาโกง รัฐบาลไทยสร้างไทยจะเร่งสนับสนุนการสร้างรายได้จากฐานความเข้มแข็งเดิมของไทยคือ การท่องเที่ยว, อาหารและเกษตร, บริการสุขภาพที่จะยกระดับเป็นWell-being Hub, และการขายความเป็นไทยหรือ Thainess ทั้งหมดตั้งเป้าสร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาท หรือ 35% ของ GDP ภายใน 3 ปี 

นอกจากนั้น พรรคไทยสร้างไทยจะสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ โดยตั้งเป้าในการสร้าง GDP แบบก้าวกระโดด เพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ด้วย Mega Project ที่จะมารีสตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทย

                     คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พบหารือ สภาหอการค้าไทย

1.ไทยสร้างไทย จะใช้ตำแหน่ง Location ของประเทศ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่า เพื่อให้ไทย เป็น Global Gateway เป็นศูนย์กลางการเดินทาง การขนส่ง ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ของภูมิภาคและของโลก โดยทางบก เชื่อมเส้นทางสายไหม BRI จากเหนือลงใต้ เชื่อมตะวันออกตะวันตก ไปถึงเวียดนาม

2.ไทยสร้างไทย จะผลักดันโครงการคลองไทย อย่างจริงจังเพื่อให้เป็น New Economic Corridor เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก เพื่อเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน โดยจะศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย ให้ความสำคัญสูงสุด

3.พรรคไทยสร้างไทย เสนอนโยบายสร้างความร่วมมือ ข้อตกลงด้านการค้าการลงทุน กับ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ คือ จีน และ อินเดีย หรือที่เรียกว่า “Chaina India Thailand Economic initiative” โดยใช้ไทยเป็นสะพานเชื่อม 2 ประเทศ เพื่อเพิ่มตลาดจาก 70 ล้านคนของไทย ให้เป็น 3,000 ล้านคน 

“โดยทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล ดิฉันจะบินไปพบประธานาธิบดีจีน และนายกฯ อินเดีย เพื่อเชิญชวนให้ร่วมจับมือกัน เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของทั้งสามประเทศร่วมกัน” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว 

                     คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พบหารือ สภาหอการค้าไทย

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ยืนยันด้วยว่า นโยบายบำนาญประชาชน 3,000 บาท ไม่ใช่เป็นนโยบายประชารัฐ ประชานิยม ที่มุ่งแต่การแจกเงินเพื่อหาคะแนนนิยม แต่มีหน้าที่ในการสร้างสุขภาพ ซึ่งเป็นการคิดอย่างครบวงจร 

โดยจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมั่นคงยั่งยืน โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะทำให้ GDP ของประเทศโต 5-7 เท่า ภายใน 5 ปี และจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลปีละเป็นแสนล้าน ผู้สูงอายุสามารถกลับมาทำงานสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้ ทั้งยังเป็นการลดภาระของลูกหลานสามารถตั้งตัวได้เร็วขึ้น