เลือกตั้ง 66 เปิดโฉมแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

การเลือกตั้ง 66 ที่กำหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.2566 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือ ปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคการเมือง ไปแล้ว เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2566 และยังสามารถสมัครได้ถึงวันที่ 7 เม.ย.นี้ 

นอกจากนั้น แต่ละพรรคการเมืองก็ได้ทยอยเปิดตัวรายชื่อ “แคนดิดเดตนายกฯ” พร้อมยื่นรายชื่อต่อ กกต. ไปบ้างแล้ว

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 เม.ย.ว่า ภายหลังการรับสมัครการส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในวันแรก กกต.ได้ตรวจสอบเอกสารทั้ง 49 พรรคการเมืองที่มายื่นสมัครและได้จับสลากหมายเลขพรรคในช่วงเช้า ทุกพรรคมีเอกสารครบถ้วน สามารถออกใบรับสมัครได้ครบทั้งหมด และได้หมายเลขตามลำดับที่จับสลากได้ 

ขณะที่ในช่วงบ่ายมีพรรคการเมืองมายื่นสมัครอีก 5 พรรค แต่ถอนตัว 1 พรรค ทำให้ขณะนี้มีพรรคการเมืองมาสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 53 พรรคการเมือง และรับแจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี หรือ แคนดิเดตนายกฯ จำนวน 16 พรรค 20 คน

เปิดโฉมแคนดิเดตนายกฯ

ทั้งนี้ เบื้องต้นจากการตรวจสอบรายชื่อ แคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคการเมือง เพื่อให้มีสิทธิ์เสนอชื่อลงแข่งชิงนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา (ส.ส.+ส.ว.) มีดังนี้ 

พรรคเพื่อไทย ข้อมูล ณ วันที่ 4 เม.ย.2566 มี 2 รายชื่อ คือ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กับ เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และจะมีอีก 1 รายชื่อ เพื่อส่งให้ครบทั้ง 3 คน

พรรคพลังประชารัฐ ได้มีมติเสนอ บิ๊กป้อม-พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว

พรรครวมไทยสร้างชาติ มีมติเสนอแคนดิเดตนายกฯ 2 คน คือ บิ๊กตู่- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค 

พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อ เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค แค่คนเดียว

พรรคประชาธิปัตย์ มีมติส่ง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว

พรรคก้าวไกล เสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค เพียงคนเดียว

พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอชื่อ วราวุธ ศิลปะอาชา หัวหน้าพรรค เพียงคนเดียว

พรรคไทยสร้างไทย เสนอแคนดิเดตนายกฯ 3 รายชื่อ ประกอบด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรค และ น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรค

พรรคชาติพัฒนากล้า เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ  3 รายชื่อ ประกอบด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรค  

ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้ยื่นบัญชีแคนดิเดตนายกฯ  ต่อ กกต. เพราะมีกำหนดจัดงานเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ครบทั้ง 3 คน ในวันที่ 5 เม.ย. ก่อนนำรายชื่อแจ้งต่อ กกต. ในวันที่ 6 เม.ย.2566 

                          

มี 25 ส.ส.ชิงนายกฯ ได้

สำหรับพรรคการเมืองที่จะเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อชิงเก้าอี้นายกฯ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้นั้น ต้องมีส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่คือ 500 คน หรือ มี ส.ส. 25 คน ขึ้นไป  

นอกจากนี้ การเสนอชื่อนายกฯ ต้องมี ส.ส.รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 หรือ ส.ส. อย่างน้อย 50 คน มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบต้องมีมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ 250 เสียง 

กรณีไม่อาจแต่งตั้งนายกฯ จากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ได้ ให้ที่ประชุมร่วมระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. ร่วมประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ โดย 2 สภา จะมีสมาชิกทั้งสิ้น 750 คน แบ่งเป็น ส.ส. 500 คน และส.ว. 250 คน ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกฯ ต้องมีเสียงสนับสนุนของสมาชิกรัฐสภามากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ นั่นคือ 376 เสียง

หวังส.ส.บัญชีรายชื่อ

ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ได้นำผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยสร้างไทย เข้าสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมคาดหวังว่าจะได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อให้มากที่สุด เพื่อจะได้ช่วยทำงานนำพาเศรษฐกิจของประเทศ และความอยู่ดีกินดี มาให้กับพี่น้องประชาชน 

ขณะที่ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคได้ประชุม และมีมติร่วมกันในการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในนามพรรคชาติพัฒนากล้า จำนวน 3 รายชื่อ ดังนี้  1.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า 2.นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า 3.นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรคชาติพัฒนากล้า  
 

“การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ทั้ง 3 รายชื่อ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและตามมติของพรรค โดยพิจารณาจากปัญหาของบ้านเมือง ต้องอาศัย ผู้มีประสบการณ์ ทั้ง 3 รายชื่อถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ”

นายสุวัจน์ ยังกล่าวถึงแนวทางของพรรคชาติพัฒนากล้าว่า พรรคไม่มีศัตรูทางการเมือง เข้าร่วมได้กับทุกพรรค ทุกฝ่าย เพราะปัญหาของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขหลังการเลือกตั้งก็คือ เศรษฐกิจ และ การเมือง ต้องทำให้มีเสถียรภาพ มีความปรองดอง มีความเป็นปึกแผ่น ทุกคนทุกพรรคจึงเป็นมิตรไม่มีเงื่อนไขภายใต้หลักการประชาธิปไตยคือเคารพเสียงข้างมาก