นายธนกร ชาลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) MFEC เปิดเผยว่า ปี 2558 MFEC มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาธุรกิจของลูกค้า โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี AI และ Cybersecurity ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงสูง การวางกลยุทธ์ การลงทุนในเทคโนโลยีอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ การประเมินผลกระทบและประโยชน์จากเทคโนโลยีในเชิงกลยุทธ์เป็นกุญแจสำคัญในการเลือกโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้อย่างเต็มที่
ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนไอทีอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันหลายองค์กรในประเทศไทยยังคงใช้งาน โครงสร้างพื้นฐานไอที (IT Infrastructure) ที่มีต้นทุนสูงเกินความจำเป็น การปรับเปลี่ยนไปสู่โครงสร้างระบบที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่ามากขึ้นจะช่วยให้ธุรกิจมีพื้นที่ในการลงทุนในนวัตกรรมอื่นๆ ได้มากขึ้น การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาปรับใช้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานขององค์กร แต่ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งในหลายมิติ ทั้งทางด้านความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความปลอดภัย ซึ่งช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
MFEC ให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมุ่งพัฒนาโซลูชันที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และยกระดับความปลอดภัยในระบบสารสนเทศ ผ่าน 3 โซลูชันหลัก ประกอบด้วย 1. Cost Optimization: ยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงจากการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพหรือประสิทธิภาพขององค์กร
2. Data & AI: ยกระดับการจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ผ่านการผสานรวมกับ AI เพื่อเชื่อมต่อทุกองค์ประกอบให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิด AI Driven Insights สร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แม่นยำและชาญฉลาด และ 3. Cybersecurity: เพิ่มความปลอดภัยให้องค์กรภายใต้แนวทาง Zero Trust Security และ AI-Powered Security เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้แบบเชิงรุก พร้อมลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อข้อมูลสำคัญ และการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ GABLE กล่าวว่าปี 2568 จีเอเบิล ยังคงตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการสร้างสถิตสร้างรายได้สูงสุด อย่างต่อเนื่อง และมุ่งสู่ผู้นำแอปพลิเคชันธุรกิจอัจฉริยะ (Smart Business Application Provider) ในประเทศไทยด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1. กลยุทธ์ Improve Productivity ด้วยโจทย์ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจองค์กรในทุกวันนี้ ผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจองค์กรส่วนใหญ่ต่างมองหาผลลัพธ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในเทคโนโลยีว่าได้กลับมามากน้อยแค่ไหนและคุ้มค่าหรือไม่กับการลงทุน จีเอเบิลจึงได้วางกลยุทธ์ที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการครบวงจรแบบ Real End-to-end ผ่านการรวม Portfolio และเทคโนโลยีทั้งหมด รวมถึง Business Application ของจีเอเบิล และบริษัทในเครือเข้าด้วยกัน เพื่อลดต้นทุนในการให้บริการ และเพิ่มจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้แข็งแกร่งและครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มบทบาทด้าน Business & Technology Consulting ที่ปรึกษาทั้งในมุมของเทคโนโลยีและธุรกิจมากขึ้น เพื่อขยายโอกาสในการต่อยอดรายได้ในอนาคต
2. กลยุทธ์ Empower Current Businesses นอกจากการสร้าง Cost Competitive เพื่อแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น จีเอเบิล ยังเล็งเห็นว่าในปีนี้แม้ว่าจะมีความท้าทายมากมาย แต่ก็มีโอกาสซ่อนอยู่ การเข้ามาของ Data Center ของ Global Vendor ที่มีแต่โครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านระบบคลาวน์อย่าง จีเอเบิล เข้าไปช่วยในการทำ Cloud Migration ในการนำข้อมูลสำคัญของธุรกิจองค์กรต่างๆ ขึ้นไปบริหารจัดการในระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยจุดเด่นของระบบคลาวด์ที่ความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงและตอบโจทย์การบริหารต้นทุนของธุรกิจองค์กรได้ดีเพราะเกิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง อีกทั้ง จีเอเบิล ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตในเทรนด์ที่ธุรกิจองค์กรต่างๆ กำลังจะย้ายข้อมูลองค์กรเข้าสู่ระบบคลาวน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเสริมดิจิทัลโซลูชันใน Portfolio ที่จีเอเบิล มีและสร้าง Value จากข้อมูลบนคลาวน์ของผู้ใช้บริการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็น Data Analytics, Business Application รวมถึงการปกป้องข้อมูลบนระบบคลาวน์ให้มีความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี Cybersecurity ขั้นสูง ซึ่งสอดรับทิศทางจาก Gartner ได้คาดการณ์ว่า Infrastructure as a Service (Cloud) จะเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 33.4% ในปี 2024-2026 อีกทั้งกลุ่มธุรกิจการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจบริการ ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ จีเอเบิล เติบโตขึ้นอย่างมีนัยและเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มในการลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจมากขึ้น
นอกจากนี้ จีเอเบิล ยังตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าไปในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ด้วยการจับมือพันธมิตรบุกตลาดเพื่อสร้าง Quick Win ผ่านการ Acquire บริษัท ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ จำกัด ที่มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่ม FMCG ระดับ Enterprise และการจับมือกับพันธมิตรกับบริษัท ไทย เอ็นเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (Thai NS Solutions) ที่มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่มธุรกิจบริษัทญี่ปุ่น
และ 3. กลยุทธ์ Grow New Businesses การเติบโตใน Business Application หรือ Business Software รวมถึง M&A ในปัจจุบันเทรนด์ IT Spending ที่น่าสนใจมีอยู่ 2 เทรนด์คือ 1. เทรนด์ของคลาวด์ ที่จะเข้ามาทำให้ Portfolio ของ Cloud & Data Center โตขึ้น รวมถึง 5 Portfolio ของจีเอเบิลโตขึ้นด้วย และ 2.เทรนด์ Software as a service ซึ่งเติบโตขึ้น ด้วยปัจจัยการเติบโตของเทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยี Artificial Intelligence หรือ AI ที่เติบโตขึ้นเร็วมาก จาก Predictive AI สู่ Generative AI จนเป็น Agentic AI ในปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อมูลของ Gartner ที่มีการคาดการณ์ว่า Business Applications (ERP,CRM,HCM) จะเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 14.2% ในปี 2024-2026 และภายในปี 2026 กว่า 80% ของ Global Vendor Software จะมีการใช้เทคโนโลยี AI มาเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจีเอเบิลได้เดินกลยุทธ์นี้มาตั้งแต่ปี 2024 โดยการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทผู้ให้บริการ Global Software อย่างบริษัท ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเป็น Partner หลักของ SAP และ Salesforce ซึ่งในปี 2025 Global Software ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ จีเอเบิลได้ทยอยเปิดตัว Feature Function AI ที่มีการฝัง AI Agent เข้าไปอยู่ในระบบ Operation เพื่อเพิ่ม Productivity การทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งคาดว่าจีเอเบิล น่าจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในการสร้างโอกาสการลดต้นทุน และ Competitive Advantage ได้ในทิศทางเดียวกัน ในมุมของ Strategic Acquisition มีเป้าหมายเพื่อเพิ่ม gross profit margin ให้สูงขึ้น อีกทั้งสร้าง Synergy กับธุรกิจปัจจุบันของจีเอเบิล ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลายขึ้น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ที่กว้างขึ้นให้กับจีเอเบิล